|
![]() |
:: บทเพลงประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต :: เพลงที่ 36 ลาวัฏวนเป็นครั้งสุดท้าย |
ประวัติหลวงปู่มั่น ตอนที่ ๓๖ ทำนอง : ห่วงอาลัย ครั้นถึงวันท่านจำต้องจากพรากไปไกล จากหนองผือนาในที่เคยได้อยู่สู่สกลนคร ชาวบ้านนั้นพากันร้าวรอน แสนอาลัยอาวรณ์ ร้อนดังไฟสุมอกแสนวิตกวิปโยคโศกใจ พระเณรยิ่งหมองไม่ว่าจะมองแห่งใด มวลแมกไม้ก็เหมือนกรอบใบตายยืน -ดนตรี- ขบวนหามและผู้ติดตามมากพอดู ให้รันทดสลดหดหู่มาถึงบ้านภู่พักอยู่หลายคืน ฝ่ายว่าพระอาจารย์มั่นท่านคอย เร่งทยอยพาท่านไปอย่าช้าเลยในเรื่องอื่น ทุกวันคืนท่านคอยเร่งสั่งการ หากขืนมัวช้าคอยถ่วงเวลาไปนานจะไม่ทันการณ์ ด้วยธาตุและขันธ์กำลังจะล่ม -ดนตรี- แล้วเปลี่ยนเป็นทำนอง --จำปาทอง คณะศิษย์จึงพากันนำท่านเดินทางต่อไป มิช้ามินานก็ได้มาถึงอำเภอพรรณานิคม แล้วมีญาติโยมนำรถยนต์มารับท่านต่อ ตอนเช้าราว ๗:๐๐ น. พอฉันแล้วจร ถนนขรุขระลุ่มๆ ดอนๆ กว่าจะถึงสกลนคร ก็ตอนเที่ยงวันนั้นพอดี -ดนตรี- หมอฉีดยาให้ท่านหลับตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง ถึงวัดสุทธาวาสแล้วยังคงหลับต่อไปในกุฎี ท่านตื่นมาอีกทีตอนสองยามจากนั้นเรื่อยมา ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา อาการที่ท่านบอกลา บอกลาธาตุขันธ์ นั้นก็ชัดเจนให้เห็นทวี -ดนตรี- ท่านนอนสีหไสยาสน์ลาธาตุลาขันธ์อันทุกข์รุม ลมหายใจละเอียดนุ่ม เบาแผ่วสุขุมอ่อนลงทุกที แล้วหายเงียบไปไม่มี มีผู้ใดได้เห็นอาการ ว่าท่านนิพพานหมดลมปราณนั้นวินาทีใด ทั้งที่นั่งอยู่แทบติดกาย แต่ไม่มีผู้ใดรู้ได้ถึงกาลท่านสิ้นลม -ดนตรี- -พูด- บรรยาย ประวัติหลวงปู่มั่น ตอนที่ ๓๖ ทั้งพระและเณรซึ่งนั่งเรียงเป็น ๓ แถวอยู่ต่อหน้าท่าน ตาจับจ้องดูอาการของท่านราวกับว่าจะไม่หายใจ แต่ไม่มีใครสามารถรู้ว่าท่านได้สิ้นไปแล้วแต่วินาทีใด เพราะอวัยวะทุกส่วนมิได้แสดงอาการผิดปกติเหมือนสามัญทั่วๆ ไปเคยเป็นกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ จึงพูดเป็นเชิงไม่แน่ใจขึ้นมาว่า เจ้าคุณธรรมเจดีย์: ไม่ใช่ท่านสิ้นไปแล้วหรือ พร้อมกับยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา ขณะนั้นเป็นเวลาตี ๒ นาฬิกา ๒๓ นาที ตรงกับวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ จึงได้ถือเวลานั้นเป็นเวลามรณภาพของท่าน ขณะที่ท่านอาจารย์ลาสมมุติคือขันธ์ก้าวเข้าสู่แดนเกษม ไม่มีสมมุติความกังวลใดๆ เข้าไปเกี่ยวข้องวุ่นวายอีก ซึ่งเป็นขณะเดียวกับที่พระเณรนั่งรุมล้อมท่านอยู่ เกิดความสลดหดหู่โศกเศร้าเหงาหงอย โศกาอาดูรขุ่นข้องหมองจิต มองไปทางไหนดูมืดมิดไปทุกทิศทุกทาง ทั้งที่แสงสว่างจากตะเกียงเจ้าพายุจุดส่องสว่างไสวไปทั่วบริเวณ แต่หัวใจของพระเณรยามนั้นช่างมืดมิดไปทุกด้าน เสียงไอเสียงจามเสียงบ่นพึมพำฟังไม่ได้ถ้อยได้ความ ใครอยู่ที่ไหนก็ได้ยินเสียงอุบอิบพึมพำทั่วบริเวณนั้น บ้างเป็นลมราวจะสลบสิ้นใจไปตามท่าน น้ำตาบนใบหน้าไหลซึมออกมาอย่างสุดที่จะอดกลั้นไว้ได้ ในคืนมหาวิปโยคยามดึกสงัด คืนแห่งการพลัดพรากจากไปของพระอาจารย์ผู้สถิตอยู่ในหัวใจของพระเณรรวมทั้งฆราวาสซึ่งรวมอยู่ด้วยในคืนนั้น ต่างเห็นโลกธาตุเป็นเหมือนยาพิษไปเสียหมดในเวลานั้น |
![]() |
Copyright All Rights Reserved. |