|
![]() |
:: บทเพลงประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต :: เพลงที่ 33 อุบายทรมานศิษย์ดื้อ |
ประวัติหลวงปู่มั่น ตอนที่ ๓๓ ทำนอง : เขมรเหลือง พระสงฆ์องค์หนึ่ง-ซึ่งพักอยู่ใน วัดหนองผือนั้นท่านสอนอย่างไร ก็ไม่ก้าวไกลการภาวนา ครั้งเป็นฆราวาส-ก่อนหันหน้ามา ห่มผ้าเหลืองล้อมประเทืองศีลา ท่านเป็นนักเลงใจกล้าเก่งฉกรรจ์ -ดนตรี- แล้วกลับใจได้บวชละบาปโดยพลัน ด้วยศรัทธาในพระอาจารย์- มั่นอยู่มิรู้คลายด้วยใจเปี่ยมล้น มุ่งหน้าฝ่าฟันมั่นหมาย หวังจะให้ใจหลุดพ้น จากภพ-ชาติ ปัจจยา ไม่ต้องมาทุกข์ทน ออกจากวัฏวน พ้นไปดังหมาย -ดนตรี- พระอาจารย์มั่นท่านเลยแนะให้ไป อยู่ในถ้ำอยู่ในถ้ำห่างไกล ที่มีเสือร้ายอาศัยอยู่กิน -ดนตรี- เพราะนิสัยของท่านนั้นดื้อจนชิน ต้องให้เสือดัดนิสัยบ้าบิ่น ให้สิ้นพยศลงคงจะดี ต้องให้มีครูเป็นเสือ ทรมานเพื่อให้ใจนี้ สงบระงับอ่อนลงได้ตรงเร็วรี่ ได้อรรถ-ธรรมที่มีคงดีดังหวัง -ดนตรี- แล้วเปลี่ยนเป็นทำนอง --แสนคำนึง เมื่อได้ฟังดังนั้น จึงคิดอยู่หลายวันจนกระจ่าง แล้วตัดสินใจทำตามอย่าง ไปอยู่ถ้ำดังคำพระอาจารย์ ที่มีเสือแผ้วพานนั้นภายในถ้ำอยู่อาศัย -ดนตรี- นิดหน่อย ขนาดพระอาจารย์มั่นนั้นท่านบอกให้ไป คงไม่ให้เราไปตายในถ้ำนั้นแน่นอน ท่านแนะและสั่งสอนซ่อนไว้ด้วยเหตุผล ถ้าเราไม่ไปผจญขุดค้นให้แน่ใจ เราคงไม่ใช่พระ ที่แท้ก็คือนาย- เราจะกลัวทำไมเมื่อท่านให้ไปหาธรรม -ดนตรี- นิดหน่อย ท่านรู้-จึงชี้ให้เราอย่างดี ช่วยชี้แนะนำให้เรานี่ได้ทำดังคำที่ท่านสอนทุกขั้นตอน สั่งสอนเมตตาปรานี จะเป็นตายร้ายดีเรานี้จะต้องทำตาม -ดนตรี- -พูด- บรรยาย ประวัติหลวงปู่มั่น ตอนที่ ๓๓ เมื่อนำคำพูดของท่านพระอาจารย์มั่นไปคิดจนเป็นที่ปลงใจแล้ว วันหลังก็ขึ้นไปกราบลาท่านเพื่อไปอยู่ถ้ำนั้น แต่ใจยังมีความรู้สึกหวาดกลัวเสืออยู่ไม่รู้หาย ท่านพระอาจารย์มั่นได้เทศน์อบรมสั่งสอนเกี่ยวกับมายาของใจ ที่หลอกลวงคนได้ร้อยแปดพันนัยยากที่จะตามทัน และเทศน์กัณฑ์หนักๆ เพื่อปลุกขวัญกำลังใจ ตอนหนึ่งท่านเทศน์ว่า อ.มั่น: เราเป็นนักปฏิบัติทำไมจึงกลัวตายนัก ทำไมจึงปล่อยใจให้กิเลสย่ำยีหลอกหลอนจนกลายเป็นคนสิ้น คิดไปได้ สนามชัยของนักรบก็คือความกล้าตายในสงครามนั้นเอง ถ้าไม่กล้าตายก็ไม่ต้องเข้าสู่ แนวรบ ความกล้าตายนั่นแลเป็นทางมาแห่งชัยชนะข้าศึกศัตรู ถ้าท่านมุ่งต่อแดนพ้นทุกข์ด้วยความ เห็นทุกข์จริงๆ ท่านต้องเห็นความกลัวตายนั้นว่าเป็นกิเลสพอกพูนทุกข์บนหัวใจ ท่านจะนั่งกอดนอน กอดความกลัวตายนั้นไว้เผาลนหัวอกให้เกิดความทุกข์ร้อนนอนครางอยู่ในใจ ไม่มีวันปลดปล่อยได้ มีแต่สะทกสะท้านหวั่นไหวจนไร้สติปัญญาเครื่องปลดเปลื้องแก้ไขตนเอง มองไปทางไหนมีแต่เสือจะ มากัดมาฉีกไปกินเป็นอาหารอยู่ร่ำไปทำนองนั้น นิมนต์นำไปคิดให้ถึงใจเถิด นับแต่ขณะที่ท่านเทศน์กัณฑ์หนักๆ ให้ฟังแล้ว ขณะนั้นใจเหมือนจะออกแสงแพรวพราวขึ้นด้วยความกล้าหาญเพราะความปีติในธรรม เมื่อท่านเทศน์จบลงก็กราบลาท่านลงมา และเตรียมตัวออกเดินทาง เมื่อไปถึงถ้ำด้วยความกล้าหาญและเอิบอิ่มด้วยปีติยังไม่หาย ก็ปลงบริขารลงจากบนบ่าเที่ยวดูทำเลที่พักตามบริเวณนั้น แต่ตาเจ้ากรรม ใจเจ้าเวร ทำให้ระลึกถึงเสือขึ้นมาได้ว่า ถ้ำนี้มีเสือ พลันสายตาที่มองลงไปพื้นบริเวณถ้ำ ก็ไปเจอเอารอยเท้าเสือเข้าอย่างเต็มตา ใจรู้สึกสะท้านกลัวขึ้นมาทันที ความกล้าหาญหายไปหมดมีแต่ความกลัวเต็มหัวใจ จนลืมโอวาทที่ท่านอาจารย์สอนไว้ จนต้องเดินไปกลบรอยเสือด้วยฝ่าเท้าออกจนหมด ความกลัวจึงเบาบางลงไปบ้าง นับแต่ขณะที่เหลือบมองลงไปเจอรอยเสือจนกระทั่งกลางคืนตลอดรุ่งยังแก้กันไม่ตก แม้กลางวันก็ยังกลัว ยิ่งตกกลางคืนยิ่งเพิ่มความกลัวหนักขึ้น จากนั้นไข้มาเลเรียชนิดจับสั่นที่มีเชื้ออยู่แล้ว ก็เริ่มกำเริบขึ้นอีก เท่ากับตกนรกทั้งเป็นอยู่ในถ้ำนั้น ตอนไข้กำเริบรุนแรงเป็นเหตุให้ท่านระลึกสละตายขึ้นมาได้ ตัดสินใจไปนั่งภาวนาอยู่ริมเหวลึกอย่างหมิ่นเหม่ที่สุด ถ้าเผลอสติเมื่อใดก็ตกเหวตายทันที บริกรรมภาวนาด้วยพุทโธ กับคำว่า ถ้าประมาทต้องตายในบัดเดี๋ยวใจไม่ชักช้า พอภาวนาตั้งท่าตายอยู่ริมเหวลึกไม่นานนัก จิตก็รวมสงบตัวลงอย่างรวดเร็ว และลงถึงฐานของอัปปนาสมาธิเลย รวดเดียวดับเงียบสนิทหมดความกังวลวุ่นวายที่เป็นไฟเผาใจ เหลือแต่จิตดวงเดียวเท่านั้น ทรงตัวอยู่อย่างอัศจรรย์ ความกลัวตายได้หายไปโดยสิ้นเชิง นับแต่เวลา ๔ ทุ่มจนถึง ๔ โมงเช้าของวันรุ่งขึ้นจิตจึงได้ถอนขึ้นมา มองดูตะวันขึ้นครึ่งฟ้าแล้ว วันนั้นเลยไม่ต้องลงไปบิณฑบาตและไม่ฉันจังหันด้วย พอจิตถอนขึ้นมาความกลัวไม่ทราบหายหน้าไปไหนหมด ปรากฏแต่ความอาจหาญกับความอัศจรรย์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเท่านั้น ไข้มาลาเรียก็ถอนหายขาดในคืนวันนั้นด้วย ท่านได้ระลึกถึงพระคุณท่านอาจารย์มั่นอย่างเทิดทูนบนศีรษะอยู่ตลอดเวลา นับแต่วันนั้นทั้งไข้ทั้งความกลัวไม่มีมารบกวนร่างกายและจิตใจอีกเลย |
![]() |
Copyright All Rights Reserved. |