ศาสนาในหลักธรรมชาติ
วันที่ 6 กรกฎาคม. 2538
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘

ศาสนาในหลักธรรมชาติ

มีแต่ธรรมชาติแหละดี อะไรถ้าเคลือบถ้าแฝงแล้วไม่ค่อยดี ให้เป็นธรรมชาติแล้วดี อย่างจิตพระพุทธเจ้าจิตพระอรหันต์ท่านเป็นจิตธรรมชาติไม่มีอะไรเคลือบแฝงเลย นั่นเรียกว่าจิตบริสุทธิ์เป็นจิตธรรมชาติ นั่นละท่านเป็นศาสดามาสอนโลก ท่านเอาจิตธรรมชาติความรู้ธรรมชาติมาสอนโลก พวกเรานี่ความรู้ก็เคลือบแฝง อะไร ๆ เคลือบแฝงทั้งนั้นมาสอนกัน เพราะฉะนั้นมันถึงปลอมทั่วโลกทั่วสงสาร ไปที่ไหนเห็นแต่คนปลอมเต็มบ้านเต็มเมือง ของปลอมเต็มบ้านเต็มเมืองของจริงไม่ค่อยมีและไม่มี มันต่างกันอย่างนี้แล

พระพุทธเจ้าท่านทรงของจริงธรรมชาติ รู้ก็รู้ธรรมชาติตามหลักธรรมชาติ สิ่งใดที่มีอยู่ยังไงเป็นยังไงรู้เห็นตามเป็นจริงแล้วนำมาสอนโลก สอนในทางหลักธรรมชาติทั้งนั้นแหละ ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาในหลักธรรมชาติ ทนต่อการพิสูจน์ เอ้า พิสูจน์ลงไป ว่าอันนี้มี-มีไหม เห็นแล้วนี่ นี่เป็นหลักธรรมชาติอันนี้มีอย่างนี้แล้ว อันนี้มี-มีไหม....ดู พิสูจน์ดูซี มี ๆ ยอมรับ ๆ เรียกว่าสอนตามหลักธรรมชาติ พวกเรามันพวกเคลือบ ๆ แฝง ๆ

เคยเตือนหมอเหมือนกันนะ นี่ก็ต้องขออภัยด้วยนะเคยเตือนหมอเหมือนกัน ได้ยินเขาตำหนิติเตียนหมอทางหนึ่งนะ เขาตำหนิยังไง อย่างอื่นเขาว่าดีหมด แต่เขามาตำหนิอันหนึ่งว่าเรื่องศาสนานี้หมอห่างเหินมากหมอเมินหมอเย่อหยิ่ง เขาว่าอย่างนั้นนะ ว่าอย่างนั้นจริง ๆ นี่เราก็เอามาเตือนหมอเพราะหมอเป็นลูกศิษย์นี่นะ มันก็ควรจะเป็นไปได้อย่างนั้นเพราะเหตุว่าหลักวิชาหมอนี่เป็นวิชาที่มีเกียรติ ผู้เริ่มไปเรียนหมอก็เริ่มมีเกียรติแล้ว เป็นหมอขึ้นมาก็มีเกียรติ โลกส่งเสริมโลกยอมรับว่ามีเกียรติ โลกเคารพนับถือ

ทีนี้ว่าเกียรติมันก็เลยเกียรติไปใหญ่เลย เป็นกิเลสไปน่ะซี เขาเลยว่าพวกหมอเย่อหยิ่ง ถ้าพูดถึงกิเลสทางศาสนา กิเลสหนาคือพวกหมอ ทิฐิไม่ลงใครง่าย ๆ เขาว่า เราก็เอามาเตือนหมอ ลูกศิษย์เราทั้งนั้นนี่ โรงพยาบาลไหนไม่มีลูกศิษย์มีเหรอ ยิ่งโรงพยาบาลใหญ่เท่าไรยิ่งมีแต่ลูกศิษย์เต็ม เช่นอย่างศิริราชนี้เต็มไปหมด อย่าเสียใจนะนี่เตือนเพื่อดีไม่ใช่เตือนเพื่อเสียนะ ให้ภูมิใจว่าเราได้รับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในแง่ที่สำคัญมากซึ่งใคร ๆ เขาไม่ค่อยพูดแหละธรรมแง่นี้ แต่ธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วออกได้เลย ให้เอาไปพิจารณาและปรับตัวเข้ากับศาสนาซึ่งเป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลส

ศาสนาเป็นความรู้ของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้ว ความรู้ของเราเป็นความรู้ของคนมีกิเลส จะรู้ภูมิไหนมาก็ตามในสามแดนโลกธาตุนี้ เป็นความรู้ใต้อำนาจของกิเลสทั้งนั้น กิเลสเป็นเจ้าอำนาจครอบอยู่หมดเลย แต่ความรู้พระพุทธเจ้าเป็นโลกุตรวิชชา คือความรู้เหนือโลก เอามาสอนโลก ความรู้ของเราเป็นประเภทใดก็ตามในสามแดนโลกธาตุนี้เป็นความรู้อยู่ใต้อำนาจของกิเลส กิเลสเอาไปใช้เอาไปถลุงได้สบาย ๆ อย่างที่ว่านี่แหละ เขาว่าหมอมีเกียรติหมอเลยหยิ่ง แน่ะกิเลสมันอยู่ตรงนั้น มันอยู่ตรงนั้นไม่รู้ นั่นแหละกิเลสมันครอบ ๆ เราไม่รู้ ยิ่งเรียนสูงกิเลสยิ่งประสิทธิ์ประสาทให้เรื่อยสูงเรื่อย ๆ กิเลสมันเหนือวิชานั้น วิชานี้ออกมาจากกิเลสทั้งนั้น

ไม่ว่าเรียนโลกเรียนธรรมนะเหมือนกันหมด กิเลสจะต้องตาม ผู้ที่มีความรู้สูง เช่นมหาเปรียญเท่านั้นประโยคเท่านี้ประโยค หยิ่งเป็นบ้าไปเลย ไม่รู้ตัวเจ้าของ เรียนถึงนิพพานก็ไปสงสัยนิพพาน มันฉลาดหรือโง่ พวกมหาเปรียญนี่เรียนถึงหมด เช่น นรกอเวจีชั้นไหนหลุมไหน ๆ พวกนี้เรียนรู้หมด แล้วสวรรค์ชั้นไหน ๆ พวกนี้รู้หมดจนกระทั่งถึงนิพพาน แล้วสงสัยหมด ไม่เป็นท่าเลยคือพวกนี้เอง หยิ่งเฉย ๆ นี่ หลวงตาบัวก็องค์หนึ่งเป็นมหากับเขาก็หยิ่งบ้าเหมือนกันแหละ

ภาคปฏิบัติละซีจับเข้าไปให้รู้เรื่องนะ เรียนมาอย่างนั้นเราสงสัย เรียนไปถึงนิพพานก็ไปตั้งเวทีตีกับนิพพานต่อยกับนิพพาน สงสัยนิพพานอยู่จนได้ มันไม่ได้เป็นความจริงแน่ใจอะไรนี่นะพวกเรียนนี่ เป็นความจำเฉย ๆ พูดตามความจริงนี่นะ จำมาเฉย ๆ จำมาเป็นคำบอกเล่าไม่ได้เห็นตัวจริงนี่นะ เช่นอย่างวัดป่าบ้านตาดก็ได้ยินแต่ชื่อวัดป่าบ้านตาด กับผู้ที่ได้เห็นตัวจริงของวัดป่าบ้านตาดมันต่างกันนะ ผู้มาเห็นวัดป่าบ้านตาด อ๋อ วัดป่าบ้านตาดเป็นอย่างนี้ เท่านั้นพอ แต่ผู้ที่ได้ยินแต่ชื่อก็สงสัยอยู่นั้นแหละ นี่ผู้ได้ยินแต่ชื่อนรกสวรรค์นิพพานบาปบุญคุณโทษได้ยินแต่ชื่อก็เป็นอย่างนี้ละ เหมือนกัน ไม่มีอะไรจริงจังในจิตใจแหละ โลเล กิเลสหนามาก ๆ คนเรียนสูงขนาดนั้นทำความชั่วได้สบาย ๆ เรายังไปว่าให้เพื่อนเดียวกัน เป็นมหาเปรียญมันไปสะแตกเหล้าน่ะซี นั่นละเรื่องความจำ

ทีนี้เรื่องความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น ความจริงที่รู้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนะ รู้ตรงไหน ๆ อ๋อ เข้าเรื่อยนะ ว่าสมาธิก็รู้ในใจเจ้าของ อ๋อ สมาธิเป็นอย่างนี้ สมาธิขั้นนี้เป็นอย่างนี้ ๆ เหมือนกับรู้ อ๋อ วัดป่าบ้านตาดเป็นอย่างนี้ ๆ อ๋อ ศาลาเป็นอย่างนี้นั่นเป็นอย่างนั้น มองไปทางไหนอ๋อเป็นอย่างนี้เรื่อย นี่มันเห็นด้วยตา อันนี้เรื่องของธรรมก็เหมือนกัน ธรรมขั้นใดภูมิใดก็ตามมารู้ที่ใจ เพราะพระพุทธเจ้าสอนชี้เข้ามาที่ใจ ให้ปฏิบัติที่ใจ ปฏิบัติแล้วจะรู้อย่างนั้น ๆ เมื่อรู้ตามพระพุทธเจ้าสอนแล้วค้านพระพุทธเจ้าได้ยังไง อ๋อเป็นอย่างนั้น อ๋อเป็นอย่างนี้เรื่อย ยอมรับ กราบหมอบราบเลย นั่นรู้ความจริง

เรื่องทิฐิมานะที่เย่อหยิ่งจองหองในตัวเองนี้หมดไปเลยเทียว มันเป็นกิเลสก็หมดแหละ ธรรมขึ้นแทนที่ ธรรมไม่ถือสูงถือต่ำ เสมอภาค อ่อนนิ่มไปกับสัตว์โลกทั่ว ๆ ไปเลย นั่นธรรมเป็นอย่างนั้น ต่างกัน เพราะฉะนั้นความจำกับความจริงจึงต่างกัน อย่างหลวงตาบัวเทศน์นี่ถ้าไม่ได้เรียนเป็นมหาเขาจะดูถูก ว่าหลวงตาบัวไม่ได้เรียนหนังสือจะไปรู้เรื่องอะไร ว่าด้น ๆ เดา ๆ ไปอย่างนั้น เขาจะว่าเราได้สบาย ๆ แต่นี้เรียนเหมือนกันน่ะซีไม่กล้าแหยม อยากหน้าผากแตกก็แหยมมาซี อย่างที่ว่าความจำกับความจริงต่างกันเป็นต้น มีแต่เรียนเฉย ๆ มันได้แต่ความจำนี่นะ ไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ความจริง

ถ้าจะเทียบนะเหมือนกับเขาเรียนหลักวิชาทหารแนวรบมา วิชานักรบมา คนหนึ่งออกสู่แนวรบ คนหนึ่งไม่ได้ออกทรงแต่ตำราวิชาไว้เฉย ๆ ผู้ที่ออกกับผู้ไม่ออกใครเป็นผู้เชี่ยวชาญตามเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ยิ่งกว่ากัน ก็ผู้ที่ออกแนวรบแล้วนั่นแล เป็นผู้เรียกว่ารอดตายมาแล้ว หลบหลีกปลีกตัวจนกระทั่งรอดตายมาได้นำมาพูดได้หมด ผู้นี้มีแต่หลักวิชาว่าอย่างไร ว่าอย่างนั้น ๆ ไปตามไม่ได้เรื่องอะไร อันนี้หลักวิชาของธรรมก็เหมือนกันไม่ผิดกันอะไรเลย ต้องออกแนวรบขึ้นบนเวทีฟัดกับกิเลสเสียก่อน กิเลสตัวหลอกลวงปลิ้นปล้อนที่สุด ไม่มีอะไรเกินกิเลส เวลาขึ้นเวทีฟัดกับกิเลส กิเลสม้วนเสื่อ ๆ ลงไป เปิดของจริงออกมา ๆ กิเลสมันกลบเอาไว้ ๆ ปิดเอาไว้ ๆ อย่างนี้ เปิดออกกิเลสม้วนเสื่อ เปิดออกธรรมขึ้นมา ๆ อ๋อ ๆ เรื่อย

เหมือนเราไปสระน้ำใหญ่มีแต่จอกแหนปิดน้ำ น้ำจะใสสะอาดขนาดไหนก็มองไม่เห็น เพราะจอกแหนบาง ๆ เท่านั้นละปิดไว้มองไม่เห็นนะ เวลาเปิดจอกเปิดแหนแล้ว อ๋อ น้ำเป็นอย่างนี้ ๆ ตักมาดื่ม นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าอยู่ทางใต้จอกใต้แหนคือกิเลส กิเลสเป็นจอกเป็นแหนปิดบังเอาไว้ เวลาเปิดออกมาเห็นของจริง ๆ อ๋อ เป็นอย่างนี้ ๆ นั่นธรรมพระพุทธเจ้าทีนี้เปิดเผย ลงได้เห็นประจักษ์เจ้าของแล้วเทศน์ก็อาจหาญไม่สะทกสะท้าน เพราะได้เห็นมา

ตาบอดเหรออยากว่าอย่างนั้นด้วยซ้ำ พูดยังไม่ยอมเชื่ออีกเหรอตาบอดเหรอพวกนี้ มันหนาขนาดนั้นเทียวเหรอ สนุกพูดสบายผู้ที่รู้ที่เห็นแล้วมาพูดนะ ผู้ที่อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ไม่ได้เรื่องนะ เขาว่ายังไงดีไม่ดีเขาจูงจมูกไปเหมือนไอ้ผีบ้ามันไปสะแตกเหล้า เขาจูงจมูกมันไปกินเหล้า ถ้าลงเจ้าของได้รู้จริงเห็นจริงแล้วสามแดนโลกธาตุมาจูงก็ไม่ไป อย่างพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นเป็นศาสดาสอนโลกพอ นั่นเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น พระสาวกอรหัตอรหันต์เหมือนกันท่านเหล่านี้เป็นผู้ที่รู้จริงเห็นจริง เปิดความจริงออกมาเห็นหมด

แต่เรื่องของธรรมไม่เหมือนโลก ไม่มีความอยากความทะเยอทะยานอยากพูด อยากให้เขานับถือลือหน้าอะไรอย่างนี้...ไม่ ท่านไม่มี ถ้าเหตุการณ์ที่ควรจะพูดหนักเบามากน้อย อันไหนที่ควรจะเป็นประโยชน์มากน้อย ท่านก็นำออกมาพูด อันไหนไม่เป็นประโยชน์จะเต็มหูเต็มตาท่านก็เฉย เหมือนไม่รู้ไม่เห็น มันต่างกันอย่างนั้น โลกกับธรรมต่างกัน

นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นละ ประกาศท้าทายตลอดเวลา สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว คือว่าชอบทุกอย่างไม่มีผิด ที่ผู้ปฏิบัติไม่รู้ไม่เห็นตามพระพุทธเจ้าก็คือว่าปฏิบัติผิด ๆ พลาด ๆ ไปนั่นเอง ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามนั้น ถ้าปฏิบัติให้ถูกต้องตามนั้นจะเห็นสิ่งนั้น ๆ ดังพระพุทธเจ้าสอน เรียกว่ารู้ของจริงรู้อย่างนั้นเอง รู้อะไรมันเปิดออก ๆ รู้อะไรถอนตัวออก ๆ กิเลสพังลง ๆ ไป จิตดีดขึ้นมาเรื่อย ๆ ดีดผึงขึ้นเลย ทีนี้เห็นหมดเรื่องกองทุกข์ของโลก เห็นหมดเลย ทุกตัวสัตว์ไม่มีคำว่าสุขที่จะครองหัวใจนี้ไม่มี มีแต่ความทุกข์บีบบี้สีไฟในหัวใจหมดเลย ท่านเห็นหมดอย่างนั้น ท่านพ้นแล้วท่านมองเห็นหมด นั่นละท่านผู้รู้จริงเห็นจริงท่านเห็นอย่างนั้นนะ ไม่ใช่เห็นเฉย ๆ นะ เห็นจะเป็นอย่างนั้นเห็นจะเป็นอย่างนี้ก็ไม่มี ต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้เลย

ธรรมพระพุทธเจ้าจึงเป็นธรรมที่ช่วยโลกช่วยสงสาร เป็นธรรมคู่บ้านคู่เมืองคู่โลกคู่สงสารจริง ๆ ธรรมหมายถึงธรรมพระพุทธเจ้านะ ศาสนาพระพุทธเจ้าของเราเป็นศาสนาอย่างนั้น เป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสารจริง ๆ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดมาตรัสรู้ตรัสแบบเดียวกัน รู้แบบเดียวกัน เห็นแบบเดียวกัน เวลามาสั่งสอนก็สอนแบบเดียวกัน สอนอย่างอื่นไปไม่ได้ เพราะความจริงเป็นอย่างนั้นต้องสอนอย่างนั้น เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วเห็นอย่างไรก็ต้องสอนอย่างนั้นเหมือนกันหมดเลย เพราะเห็นเหมือนกันรู้เหมือนกัน

ทีนี้พวกชาวพุทธเราเหินห่างศาสนาละซีถึงโลเลโลกเลก มีแต่กองทุกข์เต็มบ้านเต็มเมือง ยังดิ้นไปตามกิเลส กิเลสหลอกว่าบ้านเมืองเจริญ บ้านเขาเจริญบ้านเราไม่เจริญ บ้านไหนน่ะเจริญว่างั้นเลย ถ้าลง ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา เผาหัวใจอยู่แล้ว บ้านไหนน่ะเป็นบ้านเจริญ เราอยากถามชัด ๆ อย่างนั้นนะ ราคคฺคินา คือราคะตัณหามันครอบหัวใจให้ดีดให้ดิ้นเหมือนสุนัขเดือน ๙ มันเป็นสุขเหรอสุนัขหน้าเดือน ๙ มันไม่รู้จักบ้านจักเรือนมันเลยนะ วิ่งว่อนหาตัวเมีย ตัวเมียก็หาตัวผู้ ตัวผู้ก็หาตัวเมีย วิ่งเป็นบ้าหากัน เขาเรียกสุนัขเดือน ๙ หอนอึกทึก กัดฉีกกันตอนนั้นตอนคึกคะนอง นั่นเหรอเป็นสุข

จิตที่ ราคคฺคินา เข้าครอบงำก็ดิ้นก็ดีดเหมือนกัน ไม่ได้อย่างใจก็โกรธแค้นฆ่ากันพินาศฉิบหายไปเลย ความโลภก็เหมือนกัน ความโลภเป็นตัวราคะดันออกไปให้โลภนะ โลภเข้ามาเพื่อราคะตัณหา ราคะตัณหาเป็นตัวที่ออกสนามรบใหญ่โตที่สุด ตัวนี้เป็นตัวผลักตัวดันตัวบีบตัวบี้อะไรให้แสดงอากัปกิริยา โลกเราเมื่อส่งเสริมราคะมากเท่าไรโลกนี้ยิ่งจะร้อนมาก ๆ เข้าไปกว่านี้อีก อย่าว่าเพียงเท่านี้ร้อนนะ ยังจะร้อนมากยิ่งกว่านี้ถ้ายังส่งเสริมมากอยู่ มองไปที่ไหนมีแต่เรื่องส่งเสริมราคะตัณหานี่นะ ไม่ได้เห็นที่แสดงอากัปกิริยาที่ต่อสู้กับราคะตัณหา มีแต่เรื่องดิ้นตามมันให้มันจูงจมูกขาดไป

มองไปไหนก็เหมือนกันสลดสังเวชนะ ถ้ามองดูพับจะสลดสังเวชทันที เพราะมีแต่กิริยาของกิเลสลากจมูก ๆ สัตว์โลกไป สัตว์โลกไม่รู้ตัวนะ เหมือนเขาจูงวัวจูงควายไปฆ่านั่นแหละ เวลาจูงไปนั้นกัดหญ้าไปคึกคะนองกันไปตามทาง เขาจูงไปเขาจะเอาไปที่ฆ่านะ ยังคึกไปคะนองไปกัดหญ้ากินกันไปเรื่อยสนุกสนาน พอไปถึงที่แล้วสายเสียแล้วแก้ไม่ตกหมดทาง นี่ก็เหมือนกันพวกเราไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยจะทำยังไง สอนเท่าไรก็ยังไม่ได้เรื่องได้ราว บางทีแผดเอาจริง ๆ นี่นะเพราะอำนาจแห่งความเมตตานั่นแหละ เราไม่ได้สอนเล่น ๆ นี่

ธรรมของพระพุทธเจ้าทุกสิ่งทุกอย่างสด ๆ ร้อน ๆ ทุกอย่างเลยไม่มีผิดมีพลาด ว่านรกก็นรกจริง ๆ เดือดพล่าน ๆ อยู่ทั้งวันทั้งคืนไม่มีเวลาหยุดยั้ง เปิดเครื่องไม่มีปิดเครื่องดับเครื่องก็คือไฟนรกนั่นเอง เปิดตลอดเวลา เพราะสัตว์โลกเข้าตลอดออกตลอด ๆ ไปจมอยู่ในหม้อนรก ทีนี้น้ำร้อนของหม้อนรกไม่ได้เหมือนน้ำร้อนในเตาในหม้อเรานี่นะ ถ้าว่าไฟนรกร้อนก็ไม่ได้เหมือนไฟในเตาเรา ร้อนแผดร้อนเผาเพราะร้อนยิ่งกว่านั้นไปอีก ร้อนบาปร้อนกรรมนี่ ไฟบาปไฟกรรมไม่ใช่ไฟในเตาเรา ผิดกัน คำว่านรกว่าเป็นหม้อก็ว่าไปเฉย ๆ ว่าเป็นหม้อ ท่านนำมาเทียบเฉย ๆ ความจริงนรกแท้ ๆ เป็นยังไงสัตว์นรกรู้ กับผู้ที่ควบคุมสัตว์นรกรู้ นายกรรม นอกนั้นไม่มีใครรู้ มันเป็นยังไงก็ไม่รู้ นั่นละที่พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างนั้นมันเป็นความจริงอย่างนั้นนี่

แต่โลกทั้งหลายชินชาหน้าด้านไม่ได้สนใจฟังยิ่งกว่ากิเลส ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วจริงจังทุกอย่าง ไม่ว่าทางตามองเห็นก็จ้อ(จ้อ = จดจ่อ) หูฟังก็จ้อ จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์อะไรจ้อทั้งนั้นละความจริงจัง ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสละจริงจังมาก นี่ละคือกิเลสได้ที ๆ ตลอดเวลา กิเลสได้เปรียบตลอดเวลา พวกเราพวกเสียเปรียบตลอดเวลา มีแต่กิเลสจูงจมูก เอาธรรมเข้าจับปุ๊บดูซีมันก็เห็นหมดละซี เรื่องของสัตว์โลกไม่มีรายใด พันรายจะเห็นรายหนึ่งดีดดิ้นออกไปเพื่อออกจากกองทุกข์นี้จะไม่เห็นมีนี่นะ

โลกเรานี้มีพลเมืองกี่คนเราเอาเรื่องมนุษย์มาพูดนะ มนุษย์เรามีเท่าไร หนึ่งพันคนต่อหนึ่งคนที่จะดีดดิ้นฝืนกิเลสออกไป ดีดออกไปฝืนกิเลสออกไปนี้ไม่มี มีแต่วิ่งตามกิเลส ถูกกิเลสกล่อมอยู่ เหมือนเขาไปนอนอยู่ในถ้ำเสือ เสือกระหึ่มมันจะงับคออยู่แล้วยัง โห เพลงลูกทุ่งมาจากไหน นึกว่าเก่งพอแล้วเพลงลูกทุ่งอันนี้ยังเสียงเพราะยิ่งกว่านั้นอีก เสียงเสือกระหึ่มมันกำลังจะงับคออยู่ยังว่าเป็นเสียงเพลงอยู่อีก อันนี้เสียงกิเลสมันงับคอตลอดเวลายังเห็นว่าเป็นเสียงเพลงอยู่อีก มันเป็นอย่างนั้นมันโง่ขนาดไหนมนุษย์เรา

พูดแล้วเราโมโหเอาละพอ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก