แผนปฏิบัติงานของพระพุทธเจ้า
วันที่ 19 กรกฎาคม. 2538
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมคณะวัดโพธิสมภรณ์ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘

แผนปฏิบัติงานของพระพุทธเจ้า

 

        หลวงตาแก่ลงทุกวัน ๆ ความเป็นห่วงโลกเป็นห่วงมากขึ้นทุกวัน  เป็นห่วงจริง ๆ ไม่ได้พูดเล่นๆ พูดถอดออกมาจากหัวใจมาพูด ความคิดความอ่านไตร่ตรองความรู้ความเห็นถอดออกมาจากหัวใจทั้งนั้นออกมาพูด ให้บรรดาพี่น้องลูกหลานชาวพุทธทั้งหลายของเราได้ทราบถึงเรื่องโลกกับธรรมว่าต่างกันอย่างไร  โลกนี้เอารัดเอาเปรียบธรรมมากทีเดียว  ถ้ามี ๕% โลกจะถึง ๙๕% คนคนหนึ่งหัวใจคิดเรื่องโลกเรื่องสงสารเรื่องความต่ำช้าเลวทราม ๙๕% จะคิดทางแง่ศีลแง่ธรรมเพียง ๕% เพราะฉะนั้นจึงไม่ทันกัน วิ่งต้อย ๆ ตามกิเลส  วิ่งต้อย ๆ ตามความโลภ วิ่งต้อย ๆ ตามความโกรธ วิ่งต้อย ๆ ตามราคะตัณหา วิ่งอยู่ทั่วโลกดินแดนแล้วโลกจะไม่ร้อนได้ยังไงก็สิ่งเหล่านี้คือไฟ ราคคฺคิ โทสคฺคิ โมหคฺคิ นี้คือฟืนคือไฟเผาไหม้โลกมาดั้งเดิมแต่กาลไหน ๆ มา โลกไม่รู้เข็ดหลาบ โลกไม่รู้จักเจ็บปวดแสบร้อนเข้าถึงใจ และไม่สนใจคิดด้วยว่าความทุกข์ความทรมานเหล่านี้เป็นสาเหตุมาจากอะไร โลกเราถึงได้งุ่มง่ามต้วมเตี้ยมวุ่นวายอยู่

        ไปที่ไหนก็ไปเราอย่าตื่นแดดตื่นลมตื่นดินฟ้าอากาศ  ตื่นประเทศชาติบ้านนั้นเมืองนี้  ให้เราดูหัวใจของคนแต่ละคน ๆ กองไฟเหล่านี้เผาอยู่ในหัวใจทั้งนั้น  แล้วจะหาความเจริญสงบร่มเย็นมาจากไหน ให้พากันไประงับดับ ราคคฺคิ โทสคฺคิ โมหคฺคิ นี้ให้สงบ  อย่างน้อยพออยู่พอเป็นพอไป  นี่พูดถึงเรื่องความเฒ่าแก่ชราเทศน์ไม่ได้ทำให้เป็นห่วงเป็นใยโลกมากขึ้นโดยลำดับ แทนที่จะมาเป็นห่วงเป็นใยเจ้าของกลับไม่เป็นห่วงนะ  นี่บอกจริง ๆ ว่าเราไม่เป็นห่วงเจ้าของเลย ฟังซิน่ะ ไม่เป็นห่วงเจ้าของเลยแต่เป็นห่วงโลกมากที่สุด  จวนตัวเข้าไปเท่าไรยิ่งเป็นห่วงโลกมากส่วนเจ้าของไม่สนใจ  พอตื่นขึ้นมาคิดปั๊บนี่คิดถึงเรื่องโลก  ความเดือดร้อนของโลกมากน้อยเพียงไรนี้คิดแล้ว ๆ ควรจะสงเคราะห์ทางใด ๆ มากน้อยคิดแล้ว ๆ ส่วนเจ้าของเป็นยังไงไม่คิด  วันนี้สุขภาพของเราเป็นยังไงจะไม่ตายแล้วหรือหลวงตาบัวนี้ไม่คิด  หลวงตาบัวเป็นยังไงไม่เคยสนใจเลย  สนใจแต่โลกสงสารว่าเป็นอยู่กันอย่างไร

เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายขอให้สร้างความดี ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้นี้ให้พอในหัวใจเถิด  จะเป็นความพออยู่ในหัวใจและหมดห่วงหมดใยทุกสิ่งทุกอย่างภายในหัวใจนั้นแล  นั่นละตัวหิวโหยอยู่ที่หัวใจ  ไม่มีอะไรหิวโหยเดือดร้อนวุ่นวายยิ่งกว่าหัวใจ  มหาเศรษฐีก็เถอะหัวใจเดือดร้อนเป็นทุคตะเข็ญใจด้วยกันทั้งนั้น  หาความสุขภายในจิตใจไม่มีเรียกว่าทุคตะเข็ญใจตั้งแต่มหาเศรษฐีลงมา ถ้าไม่มีธรรมภายในจิตใจเสียอย่างเดียวเท่านั้นหาความชุ่มเย็นไม่ได้มนุษย์เรา  อย่าอวดดีว่าใครมั่งมีศรีสุข ใครมียศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำอย่างนั้นอย่างนี้ อย่ามาอวดลมอวดแล้งกัน  อันนี้ให้กิเลสหัวเราะเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร  ให้ดูตัวกิเลสตัวพาเดือดร้อนตัวพายุ่งเหยิงวุ่นวายอยู่ทุกวัน ๆ นี้ซิ

        ความโลภพาคนให้ดีเมื่อไร  โลภเท่าไรหิวมาก ได้เท่าไรยิ่งหิวยิ่งจะเป็นจะตายเพราะความหิวโหย  ได้มากเท่าไรแทนที่จะสงบร่มเย็นลงในความโลภนั้น กลับเป็นเชื้อไฟเสริมไฟให้มากขึ้น ๆ เป็นอย่างนั้น ไม่ได้อย่างใจก็โกรธเคียดแค้นฆ่ากัน มีแต่ออกมาจากราคะตัณหานี่สำคัญมากนะ ตัวนี้ตัวรุนแรง ให้พากันสงบอารมณ์เกี่ยวกับสิ่งที่จะมาเสริมไฟมีมากนะในบ้านหนึ่ง ๆ แม้ทุคตะเข็ญใจอยู่ในภูเขามองไปเห็นเสาเทวทัตแล้ว  เสาเทวทัตนั่นแหละคือเสาเสริมไฟ อยู่ที่ไหนมีหมดเวลานี้  นี่เครื่องเสริมไฟ  ไฟราคะเป็นสำคัญมากที่สุดเลย เห็นเขามีอยากมีเห็นเขาได้อยากได้ เห็นเขาเป็นอยากเป็น ดีดดิ้นกระวนกระวายเป็นตายเท่ากัน  อันนี้ละเป็นเครื่องเสริมไฟ

        ถ้าเราสงบเหล่านี้ให้อยู่ในความพอประมาณไม่ได้ก็หาความสุขไม่ได้  ในครอบครัวหนึ่ง ๆ แตกร้าวกันสามีภรรยา หาใหม่เรื่อยซิ  เมียก็หาผัวใหม่ ผัวก็หาเมียใหม่ไปเรื่อย หาไม่พอ  สุนัขหน้าเดือน ๙ เดือน ๑๐ สู้ไม่ได้นะ  สุนัขหน้าเดือน ๙ เดือน ๑๐ นี้เขายังมีพอเขานะ เช่น มีตัวเมียตัวหนึ่งตัวผู้สี่ตัวห้าตัววิ่งตามกัน เขาก็พอไปของเขา  ของเรานี้ผู้ชายคนหนึ่งอยากได้เมีย ๒๐- ๓๐ คน ร้อยคนพันคน นี่ละเอาความจริงมาพูด กิเลสมันเป็นไปได้ทำไมเราพูดธรรมะพูดไม่ได้  อุบายวิธีการของกิเลสหลอกลวงต้มตุ๋นโลกทำไมมันทำได้อย่างที่ว่ามานี้  ธรรมะจะตามแก้ตามถอดตามถอนกันตามไม่ได้  ก็แสดงว่าศาสนานี้จะหมดแล้วจากหัวใจโลกจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว  เพราะไม่ยอมรับความจริงกัน

        พูดตามกิเลสไม่ได้แก้ตามกิเลสไม่ได้  หาว่าพูดสกปรกโสมม  กิเลสตัวสกปรกโสมมที่มันทำหน้าที่อยู่บนหัวใจคนให้เดือดร้อนวุ่นวายทำไมไม่คิดกับมันบ้างว่ามันสกปรกแค่ไหน เราไม่ได้คิด  มีแต่ดิ้นเป็นบ้ากับมัน  เวลาธรรมะจะเข้าตามแก้ตามถอดตามถอนฉุดลากกันกลับคืนมาสู่สภาพเดิม กลับเป็นไปแล้วว่าธรรมะนี้หยาบโลน ธรรมะนี้สกปรกโสมม นั่นเห็นไหมเราเป็นเครื่องมือของกิเลสในตัวนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้วเราไม่รู้ตัวเลย  กิเลสเอาเป็นเครื่องมือแล้ว  ต่อไปธรรมะจะไม่มีเหลือนะ  คือไม่ยอมรับความจริงจะยอมรับแต่ของปลอม  ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสขนาดไหนปลอมเพียงไรเอาทั้งนั้น ๆ เป็นตายไม่ว่า  ถ้าเรื่องธรรมะนี้หาว่าเป็นข้าวนอกนาปลานอกสุ่มนอกแหไปแล้วเป็นของไม่จำเป็น  สิ่งที่จำเป็นก็คือกิเลส ๆ เสียอย่างเดียวเท่านั้น มันถึงเดือดร้อนโลกเรา

        ให้พากันพยายามดูหัวใจเจ้าของบ้าง แล้วให้ระงับดับมันให้อยู่พอประมาณ ผัวก็ให้มีผัวเดียว เมียมีเมียเดียว  อย่าไปยุ่งเหยิงวุ่นวาย  ท่านว่า อัปปิจฉตา ความมักน้อย บุคคลสำคัญเสียด้วยนะพูดว่า  ธรรมะที่ไปสอนประชาชนเรื่องอัปปิจฉตานี้ไม่สมควร  ผมเห็นในหนังสือพิมพ์ผมสลดสังเวชปึ๋งเลย  ถ้าไม่เข้าใจศาสนามาประกาศความโง่ของเจ้าของออกมาทำไม  เป็นผู้ใหญ่เสียด้วยนะ อัปปิจฉตา แปลว่ายังไงแปลไม่ได้เอาออกมาพูดทำไม  อัปปิจฉตา ความมักน้อย มักน้อยในอะไรสำหรับฆราวาสไม่มีเหรอจึงต้องสอนแต่พระ  มักน้อยในฆราวาสก็คือผัวเดียวเมียเดียวนั่นเอง  เดี๋ยวนี้มักมาก มหิจฉตา ซิเต็มบ้านเต็มเมืองอยู่เวลานี้เป็นมหิจฉตา เป็นหมาเดือน ๙ เดือน ๑๒ ไป นอกจาก มหิจฉตา ไปแล้วนี่  เรายังไม่รู้อยู่หรือว่าฆราวาสได้ข้ามธรรมะข้อนี้ไปมากมายเพียงไร  ยิ่งกว่าพระเสียอีก  ทำไมจะเอาธรรมะข้อนี้มาเทศน์สอนพระอย่างเดียว  ไม่สมควร  ต้องสอนหมด  สิ่งเหล่านี้เต็มไปดารดาษเต็มบ้านเต็มเมือง ฆราวาสจึงมากกว่าพระเสียอีก

        อัปปิจฉตา ความมักน้อย  มีผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้นไม่ทะเลาะกันนะ  เวลานี้ทะเลาะกันเพราะความระแวงแคลงใจทุกสิ่งทุกอย่าง  อย่างน้อยระแวงแคลงใจ มากกว่านั้นทะเลาะกันเพราะเห็นกับตาจับได้คาหนังคาเขานี่ มันเป็นอย่างนั้น  นี่ละกิเลสหน้าด้านอย่างนี้  ให้รู้ว่ากิเลสหน้าด้าน  กิเลสมันหน้าด้านแล้วเราก็บอกว่ากิเลสหน้าด้าน มันไม่ได้ผิด  บอกว่ากิเลสหน้าด้านตามความจริงของมัน  ความจริงมันหน้าด้านจริง ๆ ไม่ละอายใครแหละ  หิริโอตตัปปะไม่มี ถ้ากิเลสตัวเหล่านี้ได้เข้าสิงในหัวใจใดแล้วมันเป็นบ้าไปตาม ๆ กันหมด

        วันนี้เห็นพี่น้องทั้งหลายพระเณรลูกหลานมาเราก็เลยพูดธรรมะให้ฟังบ้างพอเข้าอกเข้าใจ จะได้นำไปเป็นข้อคิด เราจะไม่ได้ตื่นลมตื่นแล้งของโลกของสงสารที่กิเลสวาดภาพหลอกลวงไปมากมายนักหนา จนลืมเนื้อลืมตัวเกินไป เวลาไหน ๆ มีแต่เรื่องของกิเลสวาดภาพทั้งนั้นหลอก  เราก็ตื่นลมตื่นแล้งไปกับมัน

        วันนี้ท่านหลวงปู่เจ้าคุณธรรมบัณฑิต นำคณะพระเณรตลอดศรัทธาญาติโยมทั้งหลายมาเคารพนับถือกันเป็นที่ระลึกประจำปีเสร็จสิ้นลงไปแล้ว  และต่อจากนั้นก็จะมีสัมโมทนียกถาพอเป็นเครื่องระลึกถึงกันในคราวที่มานี้ แก่บรรดาท่านทั้งหลายเพียงเล็กน้อย  เพราะทุกวันนี้เทศน์ไม่ไหวแล้วไม่เหมือนแต่ก่อน  เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า  เทศน์ก็หลงหน้าหลงหลัง ตั้งนโมจบไม่เป็น เลยไม่ได้เทศน์มีแต่ตั้ง นโม ทั้งวัน ต่อไปนี้เป็นอย่างนั้น

        พวกเราที่มีความกลมกลืนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนี้ เพราะอำนาจแห่งศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องปกคลุมเอาไว้ให้เป็นเนื้อหนึ่งอันเดียวกัน เพราะมนุษย์นี้มีความฉลาดกว่าสัตว์  มีความคิดในแง่ต่าง ๆ มาก  ส่วนมากมักจะเป็นทางเสียหายต่อกัน  เมื่อมีศาสนาอันเป็นธรรมชาติที่ร่มเย็นเป็นเครื่องปกคลุมแล้ว  พวกเราทั้งหลายน้อมประพฤติปฏิบัติตามนั้น   จิตใจก็กลมกลืนลงสู่ทางที่ดี  มีความเชื่อความเลื่อมใสต่อศาสนา มองเห็นกันก็ถนัดตาถนัดใจ ถนัดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ระแคะระคายซึ่งกันและกัน  เพราะเป็นความตายใจกันจากศาสนาซึ่งเป็นธรรมชาติที่แน่นอนแล้ว

        นี่พวกเราทั้งหลายนับถือพระพุทธศาสนา คำว่าศาสนานั้นหมายความว่าอย่างไร  ถ้าเราแปลตามศัพท์ก็แปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นกิริยาที่ท่านชี้บอกแนวทาง  ออกมาจากพระทัยที่เป็นธรรมทั้งแท่งอันบริสุทธิ์แล้วภายในพระทัยของพระองค์  ธรรมนั้นเมื่อไม่แสดงกิริยาก็ไม่เกี่ยวโยงกับใคร ใครก็ไม่รู้เรื่องว่าวิเศษวิโสประการใด  จึงต้องนำกิริยาแห่งธรรมออกมา ท่านเรียกว่าศาสนธรรม คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาชี้แจงแสดงบอก คือ เป็นแบบแปลนแผนผัง  อันนี้เป็นกิริยาที่แสดงออก  ธรรมแท้อยู่ที่พระทัย สัมผัสได้ที่ใจ

ผู้ทรงธรรมแท้คือพระอรหันต์ท่านพระพุทธเจ้าท่านนี่ทรงธรรมแท้ ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน  ท่านนำจากธรรมชาติอันนั้นแลมาเป็นกิริยาแสดงออกมาว่าเป็นศาสนธรรม  เป็นแบบแปลนแผนผังให้พวกเราทั้งหลายได้ดำเนินตามแบบแปลนแผนผังนี้  อย่างน้อยเป็นคนดี  มากกว่านั้นก็มีความสงบสุขร่มเย็นจนกระทั่งถึงเป็นผู้ทรงอรรถทรงธรรมภายในจิตใจ กลายเป็นอันเดียวกันระหว่างธรรมกับใจ  นี่ก็เพราะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

        การแนะนำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทรงชี้แจงแสดงบอกตามความมีความเป็น เป็นศาสนาในหลักธรรมชาติ ไม่หาอะไรมาเพิ่มมาเติม บาปมีบุญมีนรกมีสวรรค์มีพรหมโลกมีนิพพานมี นี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เคยมีมาดั้งเดิมตั้งแต่กาลไหน ๆ   พระพุทธเจ้าพระองค์ใดมาตรัสรู้ก็ตรัสรู้สิ่งเหล่านี้แล และสิ่งที่ฝังอยู่ภายในจิตใจซึ่งไปเกี่ยวโยงกับสิ่งเหล่านี้ก็คือบาปคือบุญ พระองค์ก็ทรงทราบและละได้หมดเสร็จสิ้นทุกประการ แล้วประกาศธรรมสอนโลกเอาไว้เรียกว่าศาสนธรรม ให้โลกทั้งหลายได้เดินตามแนวทางนี้ แล้วก็จะถูกตามจุดที่หมายเป็นขั้น ๆ ตอน ๆ ไปโดยลำดับลำดาจนถึงวิมุตติหลุดพ้น เหมือนพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายซึ่งหลุดพ้นแล้ว จากแบบแปลนแผนผังอันนี้

        นี่เราทั้งหลายถือศาสนาพุทธ ก็ให้มีเครื่องหมายของศาสนาพุทธอยู่ในกายวาจาใจของเรา  อย่าให้มีแต่ชื่อแต่นาม เรียนมาได้แต่ชื่อของกิเลส ชื่อของอรรถของธรรม ชื่อนรกชื่อสวรรค์ ชื่อบาปบุญคุณโทษ แต่ตัวของเราเป็นนักสั่งสมบาปกรรมทั้งหลายอย่างนั้นไม่ถูก เราเรียนมาแล้วเราต้องประพฤติปฏิบัติตัว สิ่งใดท่านสอนว่าควรละให้พยายามละสิ่งนั้นด้วยความจงใจ อย่าสักแต่ว่าละ สิ่งใดที่ท่านสอนให้บำเพ็ญก็พึงบำเพ็ญสิ่งนั้นด้วยความเต็มใจ ด้วยความสนใจ ผลจะปรากฏขึ้นที่ใจของผู้ปฏิบัตินั้นแล

        ศาสนาที่จะเด่นชัดในปวงชนก็เด่นชัดทางภาคปฏิบัติ ไม่ใช่จะเด่นชัดในการศึกษาเล่าเรียนจดจำชื่อเสียงของกิเลสอรรถธรรมมาเท่านั้น อันนี้เป็นความจำ ความจริงแท้จะทรงไว้ที่ใจ เช่น ศีล  คำว่าศีลก็คือความปกติดีงามหรือความแน่นหนามั่นคงทางด้านจิตใจ  ต่อความประพฤติตัวให้เป็นคนดีทางกายวาจานั้นแล ท่านเรียกว่าศีล เมื่อเราตั้งใจประพฤติปฏิบัติตัวตามศีลของเราแล้ว  ไปที่ไหนเราองอาจกล้าหาญไม่สะทกสะท้าน  จะตายเวลานี้ก็ไม่คิดว่าจะล่มจมเสียหายไปไหน  ตายเวลาไหนก็ตายได้ทั้งนั้นคนมีศีลมีธรรมภายในจิตใจ  นี่ก็เห็นประจักษ์กับใจของเรา

        ถ้าพูดถึงเรื่องสมาธิ  ท่านแสดงไว้ในตำรับตำรา ชี้บอกเข้ามาที่ใจของเรานี้ว่า สมาธิขั้นนั้นเป็นอย่างนั้น เช่น ขณิกสมาธิเป็นอย่างนั้น  อุปจารสมาธิเป็นอย่างนั้น  อัปปนาสมาธิเป็นอย่างนั้น  นี่ท่านชี้เข้ามาที่ใจ จึงเรียกว่าแปลนของธรรม ชี้เข้ามาที่ใจ  ใจเป็นผู้จะดำเนินงาน ใจเป็นผู้จะสัมผัสสัมพันธ์กับศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติหลุดพ้นเหล่านี้  จะมีใจเท่านั้นเป็นที่สัมผัสเป็นที่อยู่แห่งธรรมเหล่านี้  เมื่อท่านชี้แจงอย่างนั้นเราก็ไปปฏิบัติตามวิธีการของท่าน ว่าทำสมาธิทำอย่างไร

        จิตใจของเราธรรมดามันวอกแวกคลอนแคลน  มีแต่กิเลสหมุนไป ๕ ทวีป ๑๐ ทวีป  วันหนึ่ง ๆ ไม่มีเวลาหยุดยั้ง  มีแต่ความหมุนของกิเลสภายในจิตใจของสัตว์โลก เรานำธรรมไปห้ามล้อมัน  เหยียบเบรกห้ามล้อด้วยบทภาวนาให้จิตสงบร่มเย็น  เราจะภาวนาบทใดก็ได้เพื่อความสงบของใจ เช่น พุทโธ ๆ หรืออานาปานสติ กำหนดให้มีสติกำกับรู้อยู่กับธรรมบทนั้น ๆ ภายในจิตใจของเรา  ประหนึ่งว่าโลกนี้ไม่มีไม่สนใจคิด  คิดเฉพาะ พุทโธ ๆ หรืออานาปานสติเป็นต้นนี้เท่านั้น  จิตใจของเราจะค่อยสงบตัวเข้ามา ๆ

        เมื่อเรารักษาจิตไม่ให้ส่งออกไปภายนอก ไม่ให้กิเลสผลักดันออกไปภายนอกให้คิดในแง่ที่เป็นภัยต่อตัวเอง แต่เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่กิเลส  ไม่ให้คิดไปอย่างนั้น  ให้คิดเฉพาะคำว่าพุทโธ ๆ และไม่ต้องสร้างหอวิมานไว้ในพุทโธ ธัมโม สังโฆ นะ คือไม่คิดว่าสวรรค์จะเป็นอย่างนั้น นิพพานจะเป็นอย่างนี้  พรหมโลกเป็นอย่างนั้น นรกเป็นอย่างนี้  เราไม่ต้องคิด  ให้จิตอยู่กับคำว่าพุทโธ ๆ โดยเฉพาะเท่านั้น  จิตจะค่อยสงบเข้าไป ๆ ความสงบของจิตนั้นเป็นหลักธรรมชาติของตัวเอง  เราจะไปบังคับให้สงบไม่ได้  บังคับได้แต่สติที่ทำหน้าที่นี้เรียกว่าบังคับ  บังคับไม่ให้สติเคลื่อนไหวไปจากความรู้กับคำบริกรรมที่เกี่ยวข้องกันอยู่นั้น  นี่เรียกว่าบังคับ  แต่ผลจะปรากฏขึ้นมานั้นเราบังคับไม่ได้

        เมื่อจิตสงบเข้าไปแล้วจะมีแง่ต่าง ๆ เกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา ผู้ปฏิบัติเท่านั้นจะทราบเรื่องราวได้ดี เพราะผู้ปฏิบัติเหมือนกับเราทำตามแบบแปลนแผนผัง เช่น เราจะปลูกบ้านหลังนี้ขนาดเท่าไร ๆ ดูแปลนแล้วก็สร้างตามแปลน ๆ สำเร็จขึ้นมาก็สำเร็จตามแปลนนั้นแล อันนี้แปลนของพระพุทธเจ้าเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว แปลนที่ถูกต้องดีงาม เรามาดำเนินทางด้านสมาธิ จิตสงบเข้าไปใจจะรู้สึกแปลก ๆ ต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่สมาธิ ๙๕% จะสงบเรียบไปเป็นลำดับลำดา ไม่ค่อยล่อแหลมต่ออันตราย  แต่ ๕% นั้นเมื่อรวมลงไปแล้วจะมีลักษณะแปลก ๆ มีผาดมีโผนโจนทะยาน รู้สิ่งนั้นรู้สิ่งนี้ โดดขึ้นสวรรค์โดดลงนรก  โดดไปโน้นโดดไปนี้เป็นนิสัยของจิตประเภทนี้ใครจะบังคับไม่ได้ หากเป็นขึ้นในนิสัยของตัวเองใน ๕% นั้น

        นั่นท่านเรียกว่าอุปจารสมาธิ  คือ อุปะเข้าไป จาระแล้วก็เที่ยว  เข้าไปแล้วไม่อยู่กับที่  ถอยออกมานิดหนึ่งแล้วก็ไปเที่ยวรู้นั้นรู้นี้  ทีแรกก็ไม่ค่อยจริง  แต่เป็นนิสัยของจิตอย่างนั้นจะรู้จริงในกาลต่อไป  เมื่อมีผู้แนะนำและปฏิบัติได้ถูกต้องแล้วจะเป็นผลประโยชน์มากมาย  เช่น จะรู้จักวารจิตของคนอื่น  จะรู้จักเรื่องราวนรกสวรรค์  จะรู้จักเรื่องราวเปรตผีเทวบุตรเทวดา  จะรู้จากจิตประเภทนี้  จิตประเภทสงบตัวเงียบ ๆ นั้นไม่ค่อยรู้ไม่ค่อยแสดง  จะตามแต่เรื่องบาปบุญคุณโทษ ความสงบความฟุ้งซ่านของใจที่เกิดขึ้นกับตัวมากน้อยเท่านั้น ส่วนอาการภายนอกที่จะมาเกี่ยวโยงอย่างนี้ไม่มี แต่ ๕% นั้นมี มีเป็นปัจจุบันมาทุกวันนี้

        นักปฏิบัติทั้งหลายท่านรู้ท่านเห็นท่านเป็น แต่ไม่ใช่เป็นฐานะที่จะนำมาพูด ไม่ใช่เป็นเรื่องออกตลาด เป็นเรื่องสมบัติจำเพาะใครจำเพาะมัน ถ้าเป็นพวกเดียวกัน ประพฤติปฏิบัติด้วยกันแล้วก็เล่าสู่กันฟังอย่างละเอียดลออให้ทราบชัดประจักษ์ว่า ผลแห่งธรรมของพระพุทธเจ้านั้นมีมาประจักษ์อยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ ให้เห็นประจักษ์ตามแปลนที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วนั้นแล นี่เป็นสมาธิประเภทหนึ่งที่ว่านี้ พอรวมลงไปแล้วบางทีเหมือนตกเหวตกบ่อผึงทันทีแล้วหายเงียบ แล้วโผล่ออกมาออกรู้สิ่งต่าง ๆ เป็นเปรตเป็นผีเป็นนรกอเวจีอะไรก็รู้ จริงบ้างไม่จริงบ้างทีแรกนะ เพราะเป็นนิสัย  จะเข้าสู่ความจริงจนได้นั่นแหละ เมื่อเราฝึกหัดอบรมแล้วทีนี้ค่อยแน่นอนเข้า ๆ ผิดก็เป็นครู ถูกก็เป็นครู เป็นเครื่องสอนตนนั่นแล แล้วมีครูบาอาจารย์ผู้ที่เคยผ่านเคยรู้มาแล้วคอยแนะ ๆ ให้ปฏิบัติอย่างนั้นวิธีนั้น ปฏิบัติอย่างนั้น ๆ แล้วก็ดำเนินไป ค่อยเข้าใจไป ๆ ต่อไปก็เป็นสักขีพยานอยู่ในตัวเอง ผิดถูกรู้ทันที ๆ นี่เป็นนิสัยของ ๕% แห่งนักปฏิบัติภาวนาทั้งหลาย

        อันที่ ๓ อัปปนาสมาธิ คำว่าอัปปนานั้นคือความแนบแน่นอยู่ทั้งปกติของใจ  อยู่ธรรมดานี้ก็มีความแน่นหนามั่นคงอยู่เป็นฐานของตัวเองอยู่ตลอด  ถึงจะคิดจะปรุงจะแต่งอะไรได้อยู่ พูดจาพาทีได้ ทำหน้าที่การงานอะไรได้  แต่ฐานของจิตไม่ละความแน่นหนามั่นคงของตน  แน่นปึ๋งเหมือนหิน  นี่ท่านเรียกว่าอัปปนาสมาธิ เมื่อปล่อยให้ลงก็แนบสนิทปั๊บ ปราศจากความคิดปรุงใด ๆ เงียบไปเลย  เหลือแต่ความรู้ที่เด่น เอาเมื่อไรได้ให้ลงเมื่อไรได้ ให้ถอนขึ้นเมื่อไรได้ แม้จะถอนออกมาแล้วไปทำหน้าที่การงาน ฐานของจิตคือความแน่นหนามั่นคงนั้นจะไม่ละตัวเอง นี่ท่านเรียกว่าอัปปนาสมาธิ ในวงปฏิบัติเป็นอย่างนั้น นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าปรากฏผลอยู่อย่างนี้แหละในผู้ปฏิบัติ

        เหมือนกับแปลน เราเขียนแปลนขึ้นมาแล้วเราก็สร้างตึกรามบ้านช่องตามแบบแปลนนั้น ก็จะสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา อันนี้เราเรียนมาแล้วได้มากน้อย นี้เป็นแปลนแล้วนี่เรานำมาประกอบให้เป็นผลขึ้นมา การก่อสร้างก็ได้แก่สมาธิภาวนานี้แลเรียกว่าการก่อสร้าง สร้างมรรคสร้างผลสร้างสวรรค์สร้างนิพพาน สร้างตั้งแต่สมาธิสมบัติขึ้นไปถึงปัญญาสมบัติ วิมุตติสมบัติ แล้วก็ขึ้นนิพพานสมบัติ สร้างออกจากนี้แหละ พระพุทธเจ้าทรงสร้างจากนี้จึงนำมาสอนโลก ว่าแผนหรือแบบแปลนอันนี้เป็นแบบแปลนที่ถูกต้องแล้วไม่ผิดพลาด จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว เราดำเนินตามนี้

        ทีนี้คำว่าสมาธิทั้งสามนี้ ผลปรากฏขึ้นที่ใจของเรา คัมภีร์ท่านชี้บอกเข้ามาที่ใจ คัมภีร์ไม่ใช่สมาธิ คัมภีร์ไม่ใช่ศีล คัมภีร์ไม่ใช่ปัญญา คัมภีร์ไม่ใช่วิมุตติ คัมภีร์ไม่ใช่นิพพาน เป็นชื่อของอรรถของธรรมของกิเลสตัณหาต่างหาก แต่สิ่งเหล่านี้อยู่ที่ไหน มาอยู่ที่ใจของเรา เพราะฉะนั้นท่านจึงชี้เข้ามาที่ใจของเรา ให้ดูที่จุดนี้แล้วสมาธิก็ปรากฏ พอสมาธิปรากฏขึ้นแล้วท่านสอนทางด้านปัญญา เราก็ดำเนินตามวิธีการที่ท่านสอน คือจิตมีความสงบแล้วย่อมอิ่มอารมณ์ คำว่าอารมณ์ของจิตได้แก่อะไร ก็ได้แก่สิ่งที่เป็นวิสภาคของจิตนั้นแหละ พอพูดว่าวิสภาคเรารู้ทันที สงบจากรูป จากเสียง จากกลิ่น จากรส เครื่องสัมผัส อันเป็นวิสภาคทั้งมวลนี้ซึ่งเคยกวนใจแล้วสงบไป เหลือแต่ความสงบเย็นใจอยู่  ท่านเรียกว่าจิตเป็นสมาธิจิตสงบ ไม่หิวกับอารมณ์สิ่งเหล่านี้มาก่อกวนใจ ทีนี้พาดำเนินทางด้านภาวนา

        จิตเมื่อไม่มีอะไรมาฉุดมาลากไปสู่อารมณ์ที่เป็นข้าศึกแล้ว ก็ย่อมตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์สกลกายทั้งหมด ทั้งของเขาของเราตลอดทั่วแดนโลกธาตุ แยกไปตั้งแต่เรื่องอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ  อนิจฺจํ  อนตฺตา ดูด้วยปัญญา บังคับให้ดูให้พินิจพิจารณา ดังที่ท่านว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ไม่ใช่ธรรมเล็กน้อย เป็นธรรมที่รื้อภพรื้อชาติรื้อวัฏสงสารออกจากใจด้วยธรรมเหล่านี้ล้วน ๆ ทีเดียว งานอันนี้ไม่จบ พิจารณาทำลายอันนี้ไม่แตกเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลไม่ได้  ต้องเป็นผู้อ่านอันนี้ให้จบ ทำลายอันนี้ให้แตก ภูเขาภูเรา

        ภูเขาทั้งลูกเขาเอารถแทรกเตอร์ซัดเข้าไปนี้ไม่กี่ชั่วโมงแตกกระจายไปหมด แต่ภูเขาภูเรานี้ไม่มีใครสนใจจะทำลาย ไม่มีใครสนใจจะมาพินิจพิจารณา เพราะฉะนั้นภูเขาภูเราจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่โตครอบโลกธาตุ ใครก็ก้าวข้ามไปไม่ได้ ติดภูเขาภูเรานี้อยู่ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้ปัญญาพินิจพิจารณาเรื่องภูเขาภูเราคือร่างสกลกายนี้ หนังห่อกระดูกเท่านั้นละดูไป เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตโจนี้คือหนังหุ้มแล้วนั่น พอว่า ตโจ เท่านั้นครอบไปหมดทั่วสกลกาย เปิดหนังออกแล้วเป็นอย่างไร มีแต่เนื้อมีแต่กระดูกตับไตไส้พุง มีแต่ถังขยะเต็มไปหมดภายในร่างกายของเรา นี้หรือสัตว์นี้หรือบุคคล นี้หรือหญิงนี้หรือชาย รักกันที่ตรงไหน ติดพันกันที่ตรงไหน ราคะตัณหาเกิดขึ้นจากอะไร เกิดขึ้นเพราะกระดูกนี้หรือ

        ถ้ามีแต่กระดูกล้วน ๆ ราคะไม่เกิด  มีแต่หนังล้วน ๆ ราคะไม่เกิด มีแต่เนื้อล้วน ๆ ราคะไม่เกิด ตับไตไส้พุงล้วน ๆ ราคะไม่เกิด มันเกิดขึ้นจากความเสกสรรปั้นยอของกิเลสที่เอาหนังมาหุ้มเข้าปั๊บทันทีแล้วข้างในจะสกปรกขนาดไหนก็ตาม ข้างนอกมีผิวบาง ๆ ห่อไว้ไม่ได้หนาเท่าใบลานเท่านี้เราก็โง่ มนุษย์เราโง่ขนาดไหน หนังบาง ๆ หุ้มห่อเท่านั้นก็เป็นภูเขาภูเราทั้งลูกขึ้นมาอย่างใหญ่โตไม่มีใครกล้าทำลาย มีแต่ความส่งเสริมเติมต่อให้สวยงามยิ่งขึ้นไป ๆ ด้วยลมด้วยแล้งในอารมณ์ของปากแต่ละคน ๆ ที่เป็นอารมณ์ออกมาจากกิเลสนั้นแลจึงไม่ได้ทำลายในสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้ทำลาย นี่ละเรียกว่าปัญญา พินิจพิจารณาแยกแยะหลายครั้งหลายหน เที่ยวกรรมฐานอยู่ในสกลกายของเรานี้ ข้างบนข้างล่างด้านขวางสถานกลางดูให้ตลอดทั่วถึง หลายครั้งหลายหนไม่นับเที่ยว อาความชำนิชำนาญเป็นประมาณ

        จิตใจเมื่อได้เข้าใจตามสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ตามหลักความเป็นจริงนี้แล้ว  ย่อมจะคลายความกำหนัดยินดี คลายความยึดมั่นถือมั่นออกมาเป็นลำดับลำดา  เห็นชัดเข้าไปตรงไหนถอนตรงนั้น ๆ นี่ท่านเรียกว่าปัญญา  พิจารณาเห็นชัดเจนตามหลักความเป็นจริงแห่งสกลกายนี้  ราคะตัณหาพังเลย  เดี๋ยวนี้ราคะตัณหาไม่พังเพราะอะไร  ราคะตัณหายิ่งกำเริบเสิบสานขึ้นทุกวัน ๆ ทุกเวลาทั้งเขาทั้งเราเพราะอะไร  เพราะต่างคนต่างเสริมกองมูตรกองคูถให้เป็นทองคำทั้งแท่งขึ้นไปนั่นซี  สำคัญว่าเป็นทองคำทั้ง ๆ ที่เป็นกองมูตรกองคูถก็สำคัญว่าเป็นทองคำทั้งแท่งถึงได้เสริมราคะขึ้นมากมาย พอพิจารณาตามหลักความเป็นจริง เห็นตามความเป็นจริงนี้แล้วไม่ต้องบอกถอนเอง อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในสกลกายทั้งของเขาของเรา ราคะตัณหาที่มันเอานี้เป็นเรือนรังที่อยู่ที่ทำงานของมันก็พังไปตาม ๆ กัน นี่ท่านเรียกว่าปัญญา นี่เป็นปัญญาขั้นหนึ่ง เมื่อพิจารณาทางด้านปัญญานี้

        แต่ว่าการพิจารณาทางด้านปัญญานี้มีขั้นมีตอน  ถ้าหากว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า  เพราะการทำงานด้วยปัญญาก็เรียกว่างาน  เจตสิกธรรมต้องคิดต้องอ่านไตร่ตรองต่าง ๆ นี้เรียกว่างาน เรียกว่าทำงาน เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเข้าพักสมาธิให้สงบเย็นใจสบาย ไม่ต้องคิดต้องอ่านปรุงแต่งอะไรทั้งนั้น อยู่ด้วยความเย็นใจ มีอารมณ์อันเดียวเอกัคคตารมณ์ อยู่ในอารมณ์ของอัปปนาสมาธิเรียกว่าเอกัคคตารมณ์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ในอัปปนาสมาธิ คือแน่วอยู่อันเดียวเท่านั้นไม่มีสองกับอันใด  มีแต่ความรู้ที่ดิ่งอยู่เท่านั้น เข้าไปพักอยู่นั้นเสีย พอได้กำลังแล้วถอยออกมาพิจารณาทางด้านปัญญาอีก

        เมื่อพิจารณาทางด้านปัญญาเช่นสกลกายมันพังทลายลงไปหมดแล้ว พวกเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้ปัญญาจะคืบคลานไปตาม ๆ กันเหมือนไฟได้เชื้อ  สิ่งเหล่านี้เป็นเชื้อไฟของปัญญาทั้งนั้น กิเลสเป็นเชื้อไฟ  สิ่งที่ส่งเสริมให้เกิดกิเลสคือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ว่าเขาว่าเราว่าสัตว์ว่าบุคคลว่าหญิงว่าชายว่าสวยว่างาม เหล่านี้เป็นเชื้อไฟเป็นเรื่องของกิเลส ไฟคือปัญญานี้จะลุกลามไปไหม้ไป ๆ มุดมอดไปหมดไป ๆ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ออกมาจากอะไร ออกมาจากกาย ทำลายกายแล้ว รู้เท่ากาย รู้เท่าเวทนาทางกาย ต่อไปก็รู้เท่าเวทนาทางจิต

        เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ออกมาจากไหน ออกมาจากจิต ๆ ปัญญาตามต้อนเข้าไป ๆ นี่ท่านเรียกว่าแผนงาน การปฏิบัติงานตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าของผู้จะทรงมรรคทรงผล ไม่ว่าครั้งพุทธกาลไม่ว่าครั้งไหน ๆ ถ้าเดินตามสวากขาตธรรมนี้แล้วจะเป็นปัจจุบันธรรมด้วยกันทั้งนั้นไม่ว่าครั้งไหน ๆ เพราะกิเลสไม่เคยมีอดีตอนาคต เป็นปัจจุบันล้วนๆ เป็นอกาลิโกเหมือนกัน เมื่อเราพิจารณาแยกแยะเป็นอรรถเป็นธรรมนี้ ธรรมก็เป็นอกาลิโกปรากฏขึ้นเด่นชัดภายในจิตใจเห็นสว่างกระจ่างแจ้ง

        จิตใจที่ได้ทำลายเพียงกายเท่านี้แล้วเวิ้งว้างไปหมด  โลกนี้เหมือนไม่มีความหมาย หมดความอาลัยตายอยากทั้งหมด ก็เป็นเหตุให้ได้ทราบชัดเจนว่า อ๋อ เรื่องราคะตัณหานี้เป็นตัวที่มีฤทธาศักดานุภาพมาก  สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ก่อเหตุก่อเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นจากธรรมชาตินี้ทั้งนั้น  เมื่อราคะตัณหาได้สิ้นลงไปแล้ว เพราะเรือนรังของมันได้แก่กายนี้ได้วิพากษ์วิจารณ์กระจัดกระจายทำลายลงไปแหลกหมดแล้วราคะตัณหาไม่มี หมด  โลกก็เวิ้งว้างหัวใจก็ว่างสบาย  ขั้นนี้ก็เป็นขั้นสบาย  นี่เรียกว่าปัญญาขั้นหนึ่ง

        ปัญญาขั้นละเอียดลงไปอีกก็คือพิจารณาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วย้อนเข้าไปหาจิตใจ ย้อนออกมาหาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หมดแล้วเรื่องการเกี่ยวกับรูปกับเสียงกับกลิ่นกับรสเครื่องสัมผัสตั้งแต่ร่างกายหมดปัญหาไปถ่ายเดียวเท่านั้น สิ่งเหล่านั้นหมดปัญหาไปตามๆ กันหมด กิเลสไม่มีทางหากิน ย้อนเข้ามาภายใน ย่นเข้ามาๆ สติปัญญาตีต้อนเข้ามาไล่เข้าสู่จิต

        เพราะมันไม่มีเครื่องมือ ออกทางตาไปสู่รูป ตาก็หมดปัญหาแล้วจากร่างกายที่ถูกทำลายแล้วนี้ รูปก็หมดปัญหาแล้วจากร่างกายที่จิตใจทำลายด้วยปัญญาแล้วนี้ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็มีอยู่ภายในจิตใจ เกิดยิบแย็บ ๆ เกิดดับ ๆ พินิจพิจารณาความเกิดดับพร้อมของมันก็เป็นไตรลักษณ์ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ถือเอาสาระแก่นสารที่ตรงไหน กายก็พังอย่างนั้น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็พังแบบนี้ ต่างอันต่างพัง ยึดอะไรเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ไล่เข้าไปต้อนเข้าไป สุดท้ายก็เข้าสู่จุดใหญ่

        นี่ละวิธีการของการฆ่าอวิชชาฆ่าภพฆ่าชาติข้ามภพข้ามชาติให้ขาดสะบั้นไปจากจิตใจข้ามแบบนี้  ด้วยวิธีการพิจารณาภาวนาแบบนี้ ไล่เข้าไปจนกระทั่งถึงจุด  จุดใหญ่นั้นละท่านว่าอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ มันไม่มีทางไปแล้วเข้าสู่อุโมงค์ใหญ่ได้แก่จิต  สติปัญญาตามต้อนเข้าไปภายในจิตนั้นอีก  พังทลายอวิชชาขาดสะบั้นลงไป  นี่ท่านเรียกว่ามหาสติมหาปัญญาหรือสติปัญญาอัตโนมัติมาตั้งแต่ขั้นกายวิภาค การพิจารณาร่างกายโน้นแล้ว เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ  ออกจากสติปัญญาอัตโนมัติแล้วก็เป็นมหาสติมหาปัญญาเกรียงไกรมาก

        กิเลสตัณหาที่เคยเกรี้ยวเคยกราดมาแต่ก่อนขาดสะบั้นไปหมด เพราะอำนาจของสติปัญญานี้รุนแรงมาก เช่นเดียวกับกิเลสเคยรุนแรงต่อหัวใจเราที่ไม่เคยได้อบรมธรรมนั้นแล พอเราคิดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมกิเลสจะทำลายขาดสะบั้นไปทันทีฉันใด ทีนี้เวลาธรรมะสติปัญญาเป็นมหาสติมหาปัญญาแล้ว ก็มีความแกล้วกล้าสามารถเช่นเดียวกัน กิเลสแย็บออกมาเท่านั้นขาดสะบั้นไปหมด ๆ สุดท้าย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ที่ฝังจมอยู่ภายในจิตใจประหนึ่งว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับใจก็ขาดสะบั้นไปตาม ๆ กันหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว นั่นจะเรียกว่าวิมุตติ หรือเรียกว่านิพพาน

        เมื่อสิ้นสุดวิมุตติลงไปแล้วท่านไม่สงสัย ผู้ท่านเป็นไม่สงสัย เหมือนกับเรารับประทานอิ่มแล้วไม่ถามกัน มีกี่ร้อยกี่พันรายก็ตามต่างคนต่างรับประทานสัมผัสสัมพันธ์เปรี้ยวหวานมันเค็มอะไรก็รู้ไปตามลำดับกับชิวหาประสาท รู้เข้าไป ๆ จนกระทั่งถึงความอิ่มหนำสำราญ ถึงอิ่มหนำสำราญเต็มที่แล้วต่างคนต่างหยุดรับประทานกันเอง นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อเข้าถึงขั้นที่รู้จริงเห็นจริงในธรรมทั้งหลายแล้ว ประกาศป้างขึ้นมาเป็น สนฺทิฏฺฐิโก แม้พระพุทธเจ้าจะประทับอยู่ข้างหน้าจะทูลถามพระองค์หาอะไร ก็เป็นธรรมชาติอันเดียวกันไม่เห็นมีอะไรผิดแปลกจากกัน นี่ละท่านเรียกว่า เอหิปสฺสิโก ให้น้อมธรรมะทั้งหลายที่เราเรียนเข้ามาเป็น โอปนยิโก คือเข้ามาพร่ำสอนตน

        รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ถ้าเรามีปัญญาเขาไม่ใช่จะเป็นข้าศึกต่อเราอย่างเดียว เขายังเป็นหินลับปัญญาด้วย พิจารณาเข้ามา ๆ ย้อนเข้ามาจนกระทั่งถึงจิต อวิชชาก็กลายเป็นหินลับปัญญาเข้าอีก ทำลายอวิชชาเข้าไปอีกจนแหลกแตกกระจายแล้วนั้นแหละวิมุตติ นี่ท่านเรียกว่าผลแห่งการปฏิบัติ ปริยัติได้แก่การศึกษาเล่าเรียนเขียนแบบแปลนแผนผังขึ้น ปฏิบัติได้แก่การดำเนินงานปลูกบ้านสร้างเรือนเป็นตึกรามบ้านช่องขึ้นมา แล้วก็สำเร็จรูปเป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามรรค สกิทาคาผล อนาคามรรค อนาคาผล อรหัตมรรค อรหัตผล สมบูรณ์แบบเต็มที่ในธรรมที่ท่านทรงแสดงไว้นี้ มาสมบูรณ์เต็มที่ภายในหัวใจของผู้ปฏิบัติเสียเอง จนกระทั่งแทงทะลุอวิชชาขาดสะบั้นจากใจแล้วท่านว่าเป็นปฏิเวธโดยสมบูรณ์ นี่คือแนวทางแห่งศาสนาที่เรียกว่าศาสนธรรมท่านประกาศแปลนเอาไว้ ให้เราทั้งหลายน้อมเข้ามาปฏิบัติตัวของเราเอง

        ทุกท่านที่มาอยู่ในที่นี่ต่างคนต่างมีความรู้สึก คือมีจิตใจจะรับทราบธรรมเหล่านี้ด้วยกันให้น้อมเข้าไปปฏิบัติ  เพราะสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อธรรมทั้งหลายก็คือกิเลสประเภทต่าง ๆ เต็มอยู่ในหัวใจของเราด้วยกันทุกท่าน  จงนำไปกำจัดปัดเป่า  ฆราวาสก็ให้กำจัดปัดเป่าไปตามแบบตามแถวตามวัยของตนหรือตามเพศของตน  พระก็ให้มีหน้าที่ปฏิบัติตามหน้าที่ของตน  ต่างคนก็ต่างสวยงามสงบเสงี่ยม โลกนี้ก็เจริญรุ่งเรือง ความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาคือเจริญรุ่งเรืองที่หัวใจของชาวพุทธเรา เมื่อเจริญที่หัวใจชาวพุทธเราแล้ว กิริยาอาการที่แสดงออกก็เจริญรุ่งเรือง มองเห็นกันก็มีความยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีความกระด้างกระเดื่องอะไร มีแต่ความสนิทสนมกลมกลืนซึ่งกันและกัน เพราะมีความเย็น มีความสงบใจ สบายใจเป็นเครื่องต้อนรับกัน  ไม่มีแต่ฟืนแต่ไฟซึ่งมองเห็นกันแล้วคอยแต่จะกัดจะฉีกกัน

        วันนี้ได้แสดงธรรมให้บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลาย ทั้งฝ่ายพระและฝ่ายฆราวาสได้ยินได้ฟัง ได้นำไปปฏิบัติ ให้แยกธรรมะนี้ไปปฏิบัติตน เราพูดถึงเรื่องศาสนาพุทธเราเป็นศาสนาที่ท้าทายมาตลอด  ท้าทายความจริง  ศาสนาสอนลงตามความจริงไม่ได้อุตริหามาจากไหน อะไรมีบอกตามความมีความเป็น สิ่งที่เป็นโทษก็ดีเป็นคุณก็ดี ความมีความเป็นควรละควรบำเพ็ญอย่างไรให้ดำเนินตามนั้น แล้วก็จะเป็นผลเป็นประโยชน์ขึ้นมาแก่ผู้นับถือพุทธศาสนาและผู้ปฏิบัติตามนั้นแล ในอวสานแห่งการแสดงธรรมนี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

 

***********

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก