น้ำตาร่วง ๓ อย่าง
วันที่ 20 พฤศจิกายน 2540
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๐

น้ำตาร่วง ๓ อย่าง

โลกนี้จะตำหนิผู้ใด๋ จะชมผู้ใด๋ จะว่าชมหรือทุกข์มันก็มีอยู่ ครันว่าจะติหรือความสุขมันหากมีอยู่ เป็นดังกินข้าวกับกากนั่นแหละ กินปลาทั้งก้าง เนื้อมันก็มี ก้างมันก็มีอยู่หั้น อาหารของกิเลสไม่บริสุทธิ์แหละ อาหารของกิเลสมีเนื้อต้องมีก้างมีกระดูก มีข้าวก็มีกาก นี่อาหารของกิเลสให้โลกเสวยโลกกินกันมันไม่บริสุทธิ์ ไม่เหมือนอาหารของธรรม อาหารของธรรมมีน้อยก็ล้วน ๆ ใหญ่ก็ล้วน ๆ ไม่มีอะไรเข้าไปแฝง ๆ ถ้าว่าตกปลา เบ็ดก็มีเหยื่อล่อ ข้างในก็เป็นเบ็ดเสีย อาหารของกิเลสเป็นอย่างนั้น เป็นแบบนี้ทั้งนั้น

เราพิจารณาหมดแล้ว วันนี้เปิดออกอีกทีหนึ่ง พิจารณาไปแง่ไหนมุมใดมันไม่มีที่จะบริสุทธิ์ ขึ้นชื่อว่าอาหารของกิเลสหลอกลวงสัตวโลก ต้องมีเคลือบแฝง มีเบ็ดอยู่ในนั้น ๆ หากปลาก็มีก้างอยู่ในนั้น มีกระดูกอยู่ในนั้นไม่บริสุทธิ์ ถ้าเป็นธรรมแล้วบริสุทธิ์ล้วน ๆ ไม่มีทุกข์เข้าไปแฝง ๆ ถ้าเป็นธรรมเรื่อยเลยจนกระทั่งถึงบริสุทธิ์พุทโธล้วน ๆ แล้ว ทีนี้เปิดโลกธาตุเลย โล่งหมดไม่มีอะไรมาติดข้องภายในจิตใจแล้ว หมด มันเป็นขั้น ๆ ขั้นนี้ก็บริสุทธิ์ ขั้นนี้บริสุทธิ์

ขั้นนี้คือว่ามีแต่ความสุขเต็มตัวของขั้นของตัวเอง มีความสุขเต็มตัวในขั้นของตัวเอง ๆ เรื่อย ไม่มีกากไม่มีกระดูกไม่มีก้างแฝง จึงว่าบริสุทธิ์ตามขั้นของตัวเอง ๆ เรื่อย จนกระทั่งถึงบริสุทธิ์เต็มที่แล้วเปิดโล่งหมด โลกธาตุโล่งหมดเลย นั่นละท่านว่าธรรมะเลิศโลก จิตเลิศโลก จิตเป็นธรรม ธรรมเป็นจิต เป็นอันเดียวกัน

พระพุทธเจ้านิพพานนี้ถ้าเราจะเทียบเป็นอุปมาก็ว่า เป็นแผ่นแห่งความบริสุทธิ์พุทโธ เป็นธรรมทั้งแท่งครอบโลกธาตุ พระพุทธเจ้านิพพานแต่ละองค์ ๆ คือจิตนี้ออกไปเป็นธรรมทั้งแท่ง ๆ ถ้าจะเป็นแผ่นก็เป็นแผ่นธรรมครอบโลกธาตุ ถ้าเป็นอากาศก็เหมือนอากาศครอบโลกธาตุ ตั้งแต่ความบริสุทธิ์แห่งธรรมแห่งจิตของท่านล้วน ๆ

อันนี้เอามาพูดเพียงเป็นข้อเปรียบเทียบเท่านั้นไม่ได้ตรงตามความจริงอะไรนัก ถ้าไม่มีข้อเปรียบเทียบก็ไม่มีที่จะด้นเดา เพราะมนุษย์เราชอบด้นชอบเดาเกาหมัดด้วย ไม่ชอบตรงไปตรงมา พอพูดอะไรนี้จะวาดภาพขึ้นทันทีเลย พูดเรื่องบ้านวาดภาพบ้านนั้น พูดบ้านไหนวาดภาพบ้านนั้น พูดคนไหนวาดภาพคนนั้นขึ้นมา จริงไม่จริงช่างมัน ไปเจอเข้าแล้วภาพนั้นก็หายเงียบไปก็ไม่เข็ดหลาบ ว่าภาพนี้หลอกเราความจริงแท้เป็นอย่างนี้ มาเห็นแล้วเป็นอย่างนี้ ภาพหลอกเราอย่างนั้น ไม่เคยสนใจ วันหลังให้มันหลอกใหม่ หลอกอยู่นั้น ถึงขั้นนั้นแล้วก็ยังต้องพูดเป็นข้อเปรียบเทียบอะไรอยู่

ให้เห็นเองเท่านั้นไม่ต้องไปถามใคร รู้เองเห็นเองแล้วหมด ไม่มีอะไรสงสัย รู้เองเห็นเองแล้วหายสงสัย ว่าพระพุทธเจ้านิพพานก็มีแต่กิริยาของขันธ์นี้สลายตัวออกไปเท่านั้น จิตที่บริสุทธิ์ธรรมที่บริสุทธิ์ก็เป็นธรรมทั้งแท่ง ๆ ไปเลย นั่นสูญไปไหน ธรรมทั้งแท่งสูญไปไหน

โลกกำลังกิเลสเหยียบเวลานี้ ธรรมะกระดิกหัวไม่ขึ้น จึงวิตกวิจารณ์มาก จวนตายเท่าไรยิ่งวิตกวิจารณ์กับโลกมาก ถูกกิเลสเหยียบย่ำทำลายแหลก ๆ พิลึกจริง ๆ นะ มันหนามันแน่น แผ่นดินทั้งแผ่นสู้ความหนาของกิเลสไม่ได้ กิเลสหนายิ่งกว่าแผ่นดินทั้งแผ่นอีก

พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาเราจะพูดว่าสักกี่ล้าน ๆ ล่ะ ตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใดตรัสรู้มาเรื่อย องค์นี้ก็องค์ปัจจุบัน ต่อไปนี้ก็พระอาริยเมตไตรย ในภัทรกัปนี้มี ๕ องค์ พระอาริยเมตไตรยเป็นองค์สุดท้าย ต่อจากนั้นไปก็เป็นอีกกัปหนึ่ง มี ๓ องค์บ้าง ๔ องค์บ้าง ๒ องค์บ้าง แต่ละกัปถ้ามีพระพุทธเจ้าประจำถึง ๕ องค์แล้วก็เรียกว่าภัทรกัป เป็นกัปที่เจริญด้วยศีลด้วยธรรม จากนั้นกัปธรรมดาก็มีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ๒ องค์ แต่ไม่ขาดละองค์หนึ่งมี ตามพุทธวงศ์ท่านแสดงเอาไว้ มี ๒ องค์ ๓ องค์ ที่มากที่สุดก็ ๕ องค์ มีอยู่อย่างนั้นเรื่อย ๆ ตลอดมากี่กัปกี่กัลป์แล้วนี่ แล้วยังจะมีไปอีกอยู่อย่างนี้

พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเรื่อย ๆ ถึงจะนานถึงอุบัติก็อุบัติอยู่ตลอด นานแสนนานเข้าไปก็มากขึ้น ๆ เพราะฉะนั้นเราอย่าพูดว่าเป็นล้าน ๆ ๆ เลย นับพระพุทธเจ้าจนวันตายก็ไม่จบ พระพุทธเจ้ามากขนาดนั้นนะ เป็นธรรมครองโลก ที่หลุดพ้นไปแล้วนั้น หมายถึงหลุดพ้นแล้วจากตาข่ายของกิเลส จากความบีบบังคับของกิเลสออกไปหมดแล้ว พวกที่อยู่ปากคอกก็มี ค่อย ๆ ออกทยอยกันออกไปเรื่อย ๆ ผู้ที่จมอยู่ในคอกก็มี นอนจมขี้อยู่ในคอกก็มี ไปตีไล่ออกจากขี้ยังไล่ชนคนอีก มันไม่อยากออก สู้นอนจมขี้ไม่ได้ พวกขี้เกียจภาวนานี้พวกจมขี้ ขี้เกียจขี้คร้าน

พูดถึงเรื่องการฆ่ากิเลส เราพูดจริง ๆ เพราะในชีวิตของเราไม่เคยมีอันไหนที่จะหนักมากยิ่งกว่าการฆ่ากิเลส จนเข็ด พิจารณาย้อนหลังนี้น่ากลัวความเพียร มันพิลึกเอาจริง ๆ เพราะฉะนั้นจึงพูดความมุ่งมั่นเป็นหลักสำคัญมาก มุ่งจ่อต่อจุดนั้นจริง ๆ จิตมันพุ่ง ๆ จะทุกข์ยากลำบากขนาดไหนไม่ได้มาเป็นอุปสรรค มันปัดออก ๆ มีแต่จะพุ่ง ๆ นี่พลังของจิตกำลังของจิต ความมุ่งมั่นของจิตเป็นสำคัญ ถ้าพลังของจิตลดลงทุกสิ่งทุกอย่างจะลดลงฮวบ ๆ ไปตาม ๆ กัน ถ้าพลังของจิตยังดีอยู่มันก็ผึง ๆ เลย

นี่ก็ด้วยอำนาจแห่งพลังของจิตที่ได้เอามาพูดอยู่เวลานี้ เจ้าของจะตายจิตไม่ยอมตาย จิตไม่ยอมถอย จะตายก็ตายไปซิ เคยเกิดเคยตายมากี่กัปกี่กัลป์แล้วไม่เห็นเข็ดหลาบ จะมากลัวตอนจะฆ่ากับกิเลสนี่เหรอ กิเลสหลอกให้กลัวนี่ ฟาดใส่กัน จึงว่าทุกข์มากแต่ก็คุ้มค่า

มีหลายประเภทนะ หมายถึงพวก ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา พวกปฏิบัติลำบากทั้งรู้ได้ช้า พวก สุขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ทั้งปฏิบัติสะดวก ทั้งรู้ได้เร็ว นี้มีจำนวนน้อย ถ้าประเภทก็ประเภทอุคฆฏิตัญญู ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติลำบากแต่รู้ได้เร็วก็มี ทั้งปฏิบัติลำบากทั้งรู้ได้ช้าก็มี ทั้งปฏิบัติสะดวกทั้งรู้ได้เร็วก็มี ในปฏิปทา ๔ ท่านแสดงเอาไว้

เรานี่พวกนอนจมขี้ ไล่ตีออกไล่ชนคนด้วย ตีออกจากขี้ไล่ชนคนด้วย ครูบาอาจารย์ดุด่าว่ากล่าวไล่ออกจากขี้ ยังโกรธยังเคียดยังหงุดหงิดไม่พอใจ นั่นละมันไล่ชนผู้ตีออก ไล่ออกจากกองขี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ขี้เกียจขี้คร้านขี้ท้อแท้อ่อนแอไม่ยอมออก มันเหนียวแน่น ไล่ออกมันไล่ชนเลย คือความหงุดหงิดความไม่พอใจมันไล่ชน ไม่ใช่กองขี้ในส้วมนะ กองขี้ในหัวใจคน

ทุกข์มาก ฆ่ากิเลสนี่ทุกข์มาก ทุกข์แสนสาหัส ประเภททันธาภิญญา หากจะรู้ก็รู้ได้ช้าที่สุด ในมหาสติปัฏฐาน ๔ ท่านบอกไว้ว่า ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ท่านแสดงไว้ผู้เจริญมหาสติปัฏฐาน ฟังแต่ว่ามหาสติเถอะน่า จ้อกันตลอดเลย เหมือนนักโทษที่โทษหนักที่สุดถูกจ้อตลอด อันนี้มหาสติก็ต้องจ้อ ควบคุมกันกับกิเลสที่จะเข้ามาทำลายจิต ขนาดนั้นละ ๗ ปีอย่างช้า ท่านบอกด้วยว่าอย่างช้า ๗ ปี ถ้าควบคุมกันขนาดนี้แล้วอย่างช้า ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วันลงมา ถ้าดำเนินตามนี้แล้วอย่างช้า ๗ ปีผ่านได้ ถ้าแบบนอนจมขี้แล้วกี่กัปกี่กัลป์ก็จมอยู่นั้นแหละ เพราะพวกนี้พวกสมัครไม่ใช่พวกจะออก พวกสมัครนอนจมไปเรื่อย จนยังเหลือแต่จมูกไว้หายใจ ขี้ท่วมไปหมดก็ยังพอใจนอนจม

ท่านแสดงไว้ในธรรมประเภทที่จะผ่านได้ คำว่ามหาสตินี้ต้องครอบเลย อย่างช้า ๗ ปีผ่าน…สำเร็จ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ประเภทขิปปาภิญญาท่านไม่นับเข้านะ จะนับก็พวกถูไถอย่างพวกเรา พวกขิปปาภิญญา พวกอุคฆฏิตัญญู ไม่ได้นับเข้า ท่านเหล่านี้เป็นบุคคลพิเศษจะตรัสรู้ตั้งแต่ยังไม่พบพระพุทธเจ้า แต่ยังตรัสรู้ไม่ได้ เหมือนว่าจะออกอยู่ตลอดเวลา แต่ประตูปิดยังออกไม่ได้ พอเปิดประตูพับ..ผึงเลย พอพระพุทธเจ้ามาแสดงธรรม เทฺวเม ภิกฺขเว เท่านั้นปึ๋งเลยอย่างเบญจวัคคีย์ทั้งห้า พวกนี้พวกรออยู่ประตูแล้ว พอเปิดประตูปั๊บพุ่งเลย

พวกเรามันพวกรอ พอทางนั้นเปิดประตูปั๊บพุ่งกลับหลังเลยไม่ยอมออก กลัวจะได้ออกวิ่งกลับหลัง เปิดประตูให้ออกกลัวจะได้ออก วิ่งกลับหลังเลย พูดแล้วสลดสังเวชนะ เปิดประตูให้ออกไม่ยอมออก วิ่งกลับหลัง ถ้าเป็นหมาก็หมาไอ้ปุ๊กกี้เราฟาดแต่ผ้า เอาข้าวไปให้กินไม่สนใจ ถ้าไม่ได้เล่นผ้าเสียเต็มเหนี่ยวแล้วยังไม่สนใจกับกินข้าวละ เศษผ้าจะกินอะไรได้มันยังสนุกของมันอยู่ เล่นผ้าเสียจนแหลกเมื่อยแล้วค่อยกินข้าว ไอ้วิ่งย้อนหลัง

หลวงปู่มั่นก็หนัก พรรษา ๒๒ เป็นพรรษาที่ท่านเริ่มเปิดโลกแต่ยังไม่ได้เปิดเต็มที่ อยู่ถ้ำสาริกาพรรษา ๒๒ ท่านเล่าให้ฟัง เปิดจริง ๆ ไปเปิดที่เชียงใหม่ พรรษา ๒๒ ไปเปิดปฐมฤกษ์อยู่ที่ถ้ำสาริกา เรียกว่าเปิดปฐมฤกษ์ พอจากนั้นไปก็ไปเปิดวาระสุดท้ายที่เชียงใหม่ เราก็ลืมเสียว่าเป็นต้นไม้อะไร ท่านอยู่ต้นไม้ต้นเดียว ต้นไม้ต้นนั้นร่มหนาทึบเลย กลางวันท่านมาเดินจงกรมได้สบาย ๆ เพราะปกติเป็นป่าอยู่แล้วไม่มีผู้มีคน อยู่ในภูเขา เหมือนอยู่หินดานลักษณะนั้นแหละ โล่งอากาศก็ดี ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อม

กลางวันท่านเดินของท่าน เพราะไม่มีผู้มีคนไปกวน เดินเวลาไหนจะเป็นไรไป ร่มก็มีตลอดทั้งวัน ตอนกลางคืนท่านนั่งภาวนาอยู่ที่นั่น โลกธาตุหวั่น ฟ้าดินถล่ม เป็นเหมือนกัน องค์ไหนก็พูดแบบเดียวกัน พอตรัสรู้ พูดตรัสรู้จะตรงกับศัพท์ที่ว่าสุดยอดของธรรม บรรลุนี้เป็นศัพท์ของพระสาวก ตรัสรู้เป็นศัพท์เป็นพระนามของพระพุทธเจ้า จึงเรียกว่าตรัสรู้ สาวกเรียกว่าบรรลุ ความจริงก็ตรัสรู้ถึงแดนวิเศษเหมือนกันนั่นแหละ

ฟังครูบาอาจารย์ที่เล่าให้ฟังถึงแดนสุดยอด นั่งน้ำตาร่วงเหมือนกันหมด คืนนั้นไม่นอนเลย นั่งน้ำตาร่วงแล้วกราบ ๆ อยู่อย่างนั้น คือกราบความอัศจรรย์ของพระพุทธเจ้า ความอัศจรรย์ของธรรม ที่ได้ครองธรรมเพราะพระพุทธเจ้า กระเทือนกันเลย พระพุทธเจ้ากับท่านก็เป็นอันเดียวกันแล้ว พอตรัสรู้ปึ๋งพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นอันเดียวกันแล้ว เป็นอันเดียวกัน ๆ

พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นกิริยาเท่านั้น เหมือนกับเป็นกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ ต้นใหญ่จริง ๆ มีต้นเดียว ธรรมะคำว่าธรรมอันเดียวเท่านั้น พระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวก พอตรัสรู้ธรรมปึ๋งเข้าไปตรงนั้นแล้วเป็นอันเดียวกันหมดเลย เพราะฉะนั้นคำว่าพระพุทธเจ้านิพพานจึงเป็นแต่เพียงกิริยาเท่านั้น ธรรมชาตินั้นเป็นพื้นเพอยู่แล้ว เมื่อถึงขั้นธรรมกับจิตเป็นอันเดียวกันแล้วเป็นอย่างนั้น

นี่ไม่ว่าองค์ไหนนั่ง แล้วกราบแล้วไหว้อยู่อย่างนั้น อย่างประวัติหลวงปู่มั่นนั่นแหละ เราก็เขียนจากคำบอกเล่าของท่านเอง นั่งแล้วกราบไหว้ คนเขาเห็นเขาก็จะว่าเป็นบ้าเป็นบอไป เพราะความอัศจรรย์นั่นแหละทำให้เป็น อัศจรรย์แล้วก็สงสารโลกเป็นประมาณ เราผ่านมาแล้ว ทีนี้เราหลุดพ้นแล้วจากที่คุมขังจากที่ทรมานในกองทุกข์ สามแดนโลกธาตุนี้เป็นแต่กองทุกข์แดนทรมานสัตว์ทั้งนั้น ผุดออกมาแล้วพ้นแล้ว มองไปทางนี้ก็สงสารทางนี้ มองไปทางนี้ก็อัศจรรย์ทางนี้ มองทางนี้อัศจรรย์พระพุทธเจ้า ๓ อย่างน้ำตาร่วง องค์ไหนก็เหมือนกันบรรดาที่ได้เล่าสู่กันฟัง ผู้ที่ถึงแดนแห่งความหลุดพ้นอย่างสุดขีดแล้วเป็นเหมือนกันหมด น้ำตาร่วงเหมือนกัน

ธรรมอัศจรรย์แค่ไหนฟังซิ เราได้อัศจรรย์อะไรพอน้ำตาร่วงมีไหม เอามาเล่าให้ฟังหน่อยน่ะมานั่งเต็มศาลาอยู่นี่ เราได้อัศจรรย์อะไรพอน้ำตาร่วง นั่นท่านน้ำตาร่วง อัศจรรย์ไหม เลิศไหมธรรม ถ้าให้ท่านพูดตามศัพท์ภาษาของธรรมของความจริงจริง ๆ แล้วท่านจะว่า พวกสามแดนโลกธาตุนี้คือพวกบ้าไม่เลิก ว่าอย่างนั้นเลย บ้าไม่เบื่อ บ้าไม่เข็ดไม่หลาบ คือพวกเรา พระพุทธเจ้าพอพ้นขึ้นแล้วยังเข็ด ยังขยะ ๆ กลัวจะได้กลับมาอีก ทั้ง ๆ ที่รู้แล้วว่าพ้นแล้ว นั่นละโทษของมันหนักขนาดไหนจึงขยะ ๆ ขยาด ๆ เข็ดหลาบที่ผ่านมาแล้วนี้ เข็ดที่สุดแล้ว สุดขีดแล้วได้พ้นแล้วด้วยก็ยังเข็ดอยู่ขนาดนั้น พวกเราพวกตายไม่เข็ด

พากันสร้างเอานะความดีนั่นละที่พาหนุนให้พ้น นอกจากนั้นไม่มี ในสามแดนโลกธาตุนี้มองหาอะไรไม่มีที่จะมาฉุดมาลากเรา ให้หลุดพ้นขึ้นจากกองทุกข์กองทรมานที่ว่านี้ มีบุญมีกุศลเท่านั้นไม่มีอย่างใดเลย เพราะฉะนั้นธรรมกับโลกจึงแยกกันไม่ออก โลกคือโลกของกิเลสมีเท่าไร ธรรมเป็นเครื่องต้านทานแก้ไขถอดถอนชะล้างกัน ต้องมีเป็นประจำ ๆ ไม่มากก็ต้องเป็นยุคเป็นสมัย อย่างพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละครั้ง ๆ นั่นละมาเป็นพัก ๆ แต่กิเลสนี้มันเป็นพืดของมันอยู่อย่างนี้ ถ้าเวลาไหนธรรมมีขึ้นมา พระพุทธเจ้าตรัสรู้อันนี้ก็ยุบยอบลงไป ๆ พอพระพุทธเจ้าและธรรมผ่านไปแล้วมันก็ผึงขึ้นมาอีก ๆ

เอาละให้พร


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก