ศาสนาต้องมี
วันที่ 16 ธันวาคม 2541
สถานที่ : ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ กทม.
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ กทม.

เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑

ศาสนาต้องมี

วันนี้เป็นวันมหามงคลแก่พี่น้องชาวไทยทั้งชาติเรา มีท่านที่เป็นประธานแห่งหอประชุมสิริกิตต์เป็นหัวหน้า เป็นสื่อ เป็นผู้นำ เพื่อชาติ ช่วยชาติไทยของเรา โดยนิมนต์หลวงตาบัวมาเป็นผู้แสดงอรรถธรรมให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ เกี่ยวกับการช่วยชาตินี้ด้วย เพราะธรรมเป็นของจำเป็นที่จะต้องแทรกซึมอยู่ในหัวใจของทุกคนชาวพุทธเรา โลกเป็นอย่างหนึ่ง ธรรมเป็นอย่างหนึ่ง ท่านจึงเรียกว่าโลกกับธรรม ถ้าเป็นแม่น้ำก็อยู่กันคนละฝั่ง ฝั่งธรรม ฝั่งโลก

ฝั่งธรรมเป็นธรรมชาติที่ทรงความร่มเย็นให้แก่สัตว์ทั้งหลายตลอดมาตั้งแต่กาลไหน ๆ ฝั่งโลกคละเคล้าไปด้วยความร้อน ความหนาว ความทุกข์ ความสุข เจือปนกันไปตลอดมาเช่นเดียวกัน เมื่อมีความจำเป็นผู้เดือดร้อนวุ่นวายได้รับความทุกข์เพราะเหตุผลกลไกอันใด ก็ย่อมจะเข้าพึ่งที่ร่มเย็น คือธรรมเป็นสำคัญ

เพราะฉะนั้นชาติไทยของเรานี้เป็นชาติแห่งชาวพุทธ เป็นลูกศิษย์ตถาคต เรียกว่าเป็นลูกชาวพุทธมา จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการอบรมอรรถธรรมเข้าสู่ใจ เพื่อเป็นแนวทางดำเนินชีวิตจิตใจ ตลอดถึงการรักษาใจให้มีความสงบร่มเย็น ในเวลาเกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวายเข้ารบกวนมาก ๆ ธรรมจะได้เป็นน้ำดับไฟให้สงบเย็นลงไป เพราะฉะนั้นธรรมกับโลกจึงต้องอาศัยกันไปตลอดเวลา

วันนี้จะได้มาชี้แจงธรรมให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ ตามโอกาสและกำลังวังชาอำนวย คำว่าธรรม ๆ นั้นเราชาวพุทธไม่อาจทราบได้ ธรรมความจำ ธรรมความจริง สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน ธรรมความจำ คือเราจำมาได้จากความจริงคือธรรมที่มีอยู่แล้วดั้งเดิม เราจดจารึกเป็นคัมภีร์ใบลานออกมาศึกษาเล่าเรียนจดจำเอาไว้ ว่าบาป ว่าบุญ ว่านรก ว่าสวรรค์ ว่านิพพาน นี่เป็นคำที่เราจดจารึกออกมาจากความจริง ที่ธรรมชาติเหล่านี้มีมาดั้งเดิมตั้งแต่กาลไหน ๆ เแต่เรายังไม่เคยพบเคยเห็นตัวจริง

มีพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านเท่านั้น เป็นผู้รู้เห็นความจริงทั้งหลายเหล่านี้เต็มสัดเต็มส่วน แล้วชี้แจงออกมา เราจึงได้ยินได้ฟังและจดจารึกเป็นคัมภีร์ใบลานออกมาได้อ่านท่องบ่นสังวัธยายกันมาเรื่อย ๆ แต่เราไม่เคยเห็นธรรม คือว่าบาปเป็นอย่างไร บุญเป็นอย่างไร เราไม่เคยสัมผัส รู้สึกว่าบาปบุญเป็นอย่างนั้น ๆ นรกสวรรค์เป็นอย่างไร เราก็ไม่เคยเห็นเคยรู้นรก สวรรค์ นิพพาน เป็นอย่างไร เราก็ไม่เคยรู้เคยเห็นสวรรค์ นิพพาน นี่คือธรรมความจริง เพียงเราจดจารึกมาเท่านั้นจึงไม่ค่อยถึงใจในชาวพุทธเราที่ไม่ได้ปฏิบัติให้เห็นตัวจริงแห่งธรรมนั้น ๆ ที่ท่านแสดงเอาไว้

เพราะฉะนั้นธรรมแม้จะมีอยู่ในโลกมากี่กัปกี่กัลป์ก็ตาม ก็มีเพียงแต่ว่าความจำเท่านั้นเข้ามาสัมผัสใจของเรา ธรรมที่แท้จริงนั้นไม่ได้สัมผัส เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามร่องรอยแห่งธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ เพื่อเข้าสู่ความจริง ความจริงดังที่กล่าวมาแล้วนี้ คือ บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เปรต ผี เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม ต่าง ๆ เหล่านี้เป็นของมีมาดั้งเดิมประจำโลกสม่ำเสมอกัน เช่นเดียวกับสัตว์กับมนุษย์เรามีมานานแสนนานเช่นเดียวกันอย่างนั้น

แต่สิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็นก็ไม่ลงใจได้ว่า สิ่งเหล่านั้นมีหรือไม่มี เราจะยอมรับเฉพาะที่เรารู้เราเห็นแล้วก็ว่าสิ่งนั้นมีสิ่งนี้มี สิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็นก็อาจปฏิเสธและปฏิเสธได้ว่าสิ่งนั้นไม่มี ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้นก็มีอยู่เช่นเดียวกับเราทั้งหลายที่เป็นมนุษย์มีอยู่เต็มโลกเต็มสงสารนี้แล

นี่พูดถึงเรื่องธรรมความจริง เมื่อเราไม่ได้ปฏิบัติ ที่ควรจะรู้จะเห็นในสิ่งที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านรู้ท่านเห็น เราก็ลงใจไม่ได้ การถือศาสนาจึงถือแบบลูบ ๆ คลำ ๆ กำดำกำขาวเพียงความจดความจำไม่ถึงใจ แต่สิ่งที่ถึงใจตลอดเวลาโดยหลักธรรมชาติของเรานั้น ที่เราก็ไม่รู้เลยว่าสิ่งนั้นคืออะไร นั่นภาษาธรรมะท่านให้ชื่อว่ากิเลส คำว่ากิเลส คือความเศร้าหมองมืดตื้อ อยู่ที่จิตใจของสัตวโลกทุกดวงไป เว้นจิตพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า เท่านั้น ท่านเหล่านี้ไม่มีคำว่ากิเลสความมืดมนอนธการภายในจิตใจ มีแต่ความสว่างไสวกระจ่างแจ้ง เรียกว่า โลกวิทู รู้แจ้งเห็นจริงตามสิ่งที่มีอยู่ทั้งหลาย นี่คือท่านผู้ทรงความจริงไว้ เรียกว่าธรรมแท้

ธรรมแท้คือใจของท่าน ก็เป็นใจที่บริสุทธิ์ เป็นธรรมทั้งดวง นี่เรียกว่าธรรมแท้ ท่านนำธรรมแท้มาสอนพวกเราเพื่อปฏิบัติ อย่างพระท่านก็สอนในศีล สมาธิ ปัญญา ศีลได้แก่การรักษากาย วาจา ของตน ให้ปลอดภัยจากสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่เรียกว่าบาป เรารักษากาย วาจา ของเรา ให้เข้าร่องเข้ารอย อย่างฆราวาสก็มีศีล ๕ เป็นประจำ ปาณาฯ ถึง สุราฯ นี่เรียกว่าเครื่องมือรักษาตัวของเรา ไม่ให้ทำความชั่วช้าลามก ไม่ให้ล่วงเกินศีลที่เป็นรั้วกั้นไว้อย่างด้วยดี เพื่อความปลอดภัยของเรา เราปฏิบัติตามศีลในข้อนั้น ๆ ก็เรียกว่าเป็นภาคปฏิบัติ

ทีนี้พระที่บวชมาในพุทธศาสนาที่ท่านทรงมรรคทรงผลเรื่อยมา ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ก็เป็นพระผู้ที่หนักแน่น มีการปฏิบัติ ตั้งแต่ศีลก็ปฏิบัติให้เคร่งครัดต่อพระวินัยทุกข้อ ๆ ไป สมาธิก็เจริญขึ้นภายในจิตใจ คำว่าสมาธิ คือความสงบเย็นใจ ความสงบเย็นใจนี้จะเกิดขึ้นได้จากการอบรมธรรมเท่านั้น อย่างอื่นเกิดไม่ได้ เพราะสมาธินี้ท่านเรียกว่าธรรม คือความร่มเย็น ความร่มเย็นจะปฏิบัติตามวิถีทางที่จะให้เกิดความร่มเย็นเท่านั้น

เช่นให้สำรวมจิต นั่งก็ดี ยืนก็ดี เดินก็ดี นอนก็ดี ให้มีสติรักษาใจของตน เรียกว่าสติธรรม ปัญญาธรรมมีความใคร่ครวญดูความเคลื่อนไหวของเรา จะประกอบหน้าที่การงานหรือคิดอ่านสิ่งใดก็ตาม ให้เลือกเฟ้นเสียก่อนแล้วค่อยเคลื่อนไหว ค่อยทำในสิ่งเหล่านั้น ท่านเรียกว่าปัญญาธรรม สติธรรม ปัญญาธรรม เข้ามาครอบจิตใจของเรา ท่านเรียกว่า จิตตภาวนา นี่เป็นภาคปฏิบัติของผู้ถือพระพุทธศาสนา ให้เห็นผลในธรรมของพระพุทธเจ้าจริง ๆ ก็ให้มีภาคปฏิบัติ

จิตเมื่อได้รับการอบรมบังคับบัญชาด้วยสติ เช่น มีคำบริกรรม พุทโธ ๆ เป็นต้น ภายในจิตใจ หรือเวลาเรานั่งภาวนาให้กำหนดบริกรรมคำว่า พุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ หรืออานาปานสติ บทใดก็ได้ มีสติกำกับรักษาอยู่ที่ใจของตนนั้น ใจเมื่อมีสติธรรม เป็นเครื่องรักษาแล้ว กิเลสจะไม่ฉุดลากไปคิดในแง่ต่าง ๆ ซึ่งเคยเป็นภัยแก่ตัวของเรา ใจของเราเมื่อมีธรรมเป็นเครื่องควบคุมไว้แล้ว จะหยั่งเข้าสู่ความสงบ

ความสงบของใจ คือปราศจากความคิดฟุ้งซ่านรำคาญที่จะก่อทุกข์ให้เกิดแก่ตน มีแต่ความสงบเย็นใจ มีธรรมเป็นที่เกาะที่ยึด เช่น พุทโธ ๆ ด้วยสติ เป็นต้น แล้วจะสงบตัวเข้ามา ๆ แล้วก็เด่นดวงอยู่ที่ใจของเรานี้ ความเด่นดวงของจิตที่ปราศจากความคิดปรุงต่าง ๆ นั้น จะเป็นความเด่นดวงที่เต็มไปด้วยความสุขความสง่างาม ความอัศจรรย์ ความแปลกประหลาด จะปรากฏขึ้นในเวลานั้น นี่เรียกว่าธรรมแท้ ได้เริ่มปรากฏขึ้นแล้ว คือ สมถธรรม เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติ ไม่ใช่เกิดขึ้นจากความจดจำเฉย ๆ นั้นเป็นความจำไม่ใช่เป็นความจริง

ความจริงคือเราปฏิบัติดังที่กล่าวนี้ ปรากฏผลขึ้นมาเป็นความสงบเย็นใจ ประจักษ์ตัวเองโดยไม่ต้องถามใคร นี่ธรรมเริ่มปรากฏขึ้นแล้ว ธรรมเริ่มสัมผัสที่ใจแล้ว ใจเริ่มได้ดื่มธรรมแล้ว ใจจึงมีความกระหยิ่มยิ้มย่อง มีความผ่องใส มีความร่าเริง ชีวิตจิตใจของเรารู้สึกว่ามีราค่ำราคาขึ้นเป็นลำดับ เพราะใจพาให้มีราค่ำราคา ใจก็มีความสงบเย็น พึ่งตัวเองไปได้โดยลำดับ นี่เรียกว่าธรรมได้เริ่มปรากฏขึ้นแล้วที่ใจของเรา จากสมาธิขั้นเริ่มต้นและขั้นต่อไป ๆ ก็ยิ่งมีความสงบแนบแน่นและสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นเป็นลำดับ จนกระจายออกทางด้านปัญญา

นี่คือภาคปฏิบัติ เพื่อจะเห็นมรรคผลนิพพานดังที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว เป็นธรรมะล้วน ๆ เป็นธรรมะสด ๆ ร้อน ๆ คือพุทธศาสนาของเรานี้เป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน ที่พระพุทธเจ้าทรงไว้แล้ว และนำมาสั่งสอนโลก บัดนี้เราปฏิบัติตามนั้นแล้ว เรียกว่าเราตามร่องรอยแห่งธรรมเข้าไปด้วยจิตตภาวนา โดยจิตเป็นสมาธิธรรมก็เริ่มปรากฏแล้วว่า สมาธิเป็นอย่างนี้ จากนั้นปัญญา คือความคล่องแคล่วแกล้วกล้า พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ พิจารณาจนกระทั่งรอบโลกธาตุ เห็นเป็นเรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เห็นเป็นเรื่อง อสุภะอสุภัง ป่าช้าผีดิบไปโดยทางปัญญาแล้ว ปัญญาจะเริ่มปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นเป็นลำดับลำดาลงไป

ความปล่อยวางเรียกว่าความปล่อยวางอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งหนักยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกอยู่ภายในใจของเราลงโดยลำดับ เมื่อปัญญามีความสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นไปเท่าไร เรายิ่งเห็นผลประจักษ์ขึ้นโดยลำดับ นี่เรียกว่าได้ผลเป็นขั้น ๆ ตอน ๆ ขึ้นไปจากการปฏิบัติของเรา ตามทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว ปัญญามีความสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นไปเท่าไร คำว่ามรรคว่าผลนั้นอยู่กับสายทางที่ดำเนินไปนี้ ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ก็จะปรากฏเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา

แล้วสุดท้ายก็รู้แจ้งแทงทะลุกิเลสตัณหาประเภทต่าง ๆ ซึ่งเคยสร้างความทุกข์ความทรมาน ความเดือดร้อนวุ่นวายให้แก่สัตวโลกภายในหัวใจ ก็สลายลงไปไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว จิตดวงนั้นก็เป็นจิตที่ประเสริฐเลิศเลอขึ้นมา เป็นจิตที่ทรงมรรคทรงผลเต็มที่ นั้นเรียกว่าจิตได้เจอธรรมเป็นขั้น ๆ ขึ้นไปแล้ว จนกระทั่งถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้น เป็นใจที่หลุดพ้นจากกิเลสโดยประการทั้งปวง เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าหลุดพ้น เช่นเดียวกับพระอรหันต์ท่านหลุดพ้นจากกิเลส ท่านหลุดพ้นอย่างนี้เอง นี่เรียกว่าผลของศาสนาที่ผู้ปฏิบัติธรรมดำเนินตามแล้วจะได้ผลอย่างนี้เป็นที่พึงพอใจเป็นลำดับไป เหมือนครั้งที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่

เพราะศาสนาเป็นศาสนาที่ทรงคุณค่ามาดั้งเดิม ไม่เคยลดน้อยถอยลงแห่งมรรคผลนิพพานสำหรับผู้ปฏิบัตินั้นเลย เป็นผู้จะทรงมรรคทรงผลตามนั้นอยู่โดยสม่ำเสมอจนกระทั่งบัดนี้ นี่ละมรรคผลนิพพานอยู่ที่ผู้ปฏิบัติตามศาสนธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้

พวกเราทั้งหลายแม้จะไม่ได้เป็นนักบวช ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องเจริญศีลธรรมดังที่กล่าวมานี้เหมือนพระท่านก็ตาม แต่ความทุกข์นั้นมีอยู่กับทุกคน การแก้ทุกข์ บรรเทาทุกข์ด้วยธรรมนั้น ก็จำต้องมีอยู่ด้วยกันเหมือนกัน จึงต้องได้พากันอบรมศึกษาปฏิบัติตนให้มีช่องว่างสำหรับธรรมไหลเข้าสู่ใจบ้าง อย่าปล่อยให้แต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา โจมตีหัวใจอยู่ทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน โดยไม่เลือกชาติชั้นวรรณะฐานะใด ๆ ทั้งนั้น เป็นฟืนเป็นไฟไปด้วยกัน เพราะไม่มีธรรมเข้าเป็นน้ำดับไฟ ใจจึงหาความสงบร่มเย็นไม่ได้

วันนี้ได้นำธรรมคือน้ำดับไฟเข้ามาเพื่อแจกจ่ายพี่น้องทั้งหลาย ได้นำไปดับไฟในหัวใจของเราแต่ละท่าน ๆ ที่เต็มไปด้วยไฟเช่นเดียวกันหมด ให้ระงับดับลงพออยู่ได้พอประมาณ อย่าให้ร้อนรนกระวนกระวายจนเกินไป ถึงกับว่าชีวิตนี้ไม่มีความหมายเลย เกิดขึ้นมาก็ไม่ทราบว่าเกิดมาจากสถานที่ใด เกิดมาเพราะกรรมอันใดเราก็ไม่รู้ เกิดมาก็เกิดมาด้วยความมืดบอด เพราะกิเลสปิดจิตปิดใจไว้ไม่ให้รู้ช่องทางแห่งการมาของตน

แล้วความเป็นอยู่เวลานี้ก็อยู่ด้วยความรุ่มร้อนขุ่นมัว ไม่ได้อยู่ด้วยความรื่นเริงบันเทิงเป็นที่พึ่งที่อาศัย เป็นที่แน่ใจแห่งจิตใจของตนเลย อยู่ด้วยความเร่ร่อน อยู่ด้วยความทุกข์ความเดือดร้อนวุ่นวาย อยู่กับคำว่าได้ว่าเสียกับสิ่งไม่ดีทั้งหลายกวนใจตลอดเวลา ใจหาความสุขไม่ได้ ใจหาความแน่นอนไม่ได้เวลามีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้อบรมจิตใจ ให้สร้างหลักยึดอันเป็นที่ปลอดภัย เป็นที่ตายใจ เป็นที่แน่ใจของตัวเองไว้ที่ใจของเรา ด้วยการรักษาตัวเองโดยทางอรรถทางธรรม

ควรมีศีล ๕ ก็ขอให้มี ศีล ๕ มีไว้สำหรับคนผู้ทุกข์ผู้ยากจนในความสุขทั้งหลาย เพราะพวกเราทั้งหลายนี้เป็นทุคตะเข็ญใจ ที่ว่าเป็นชื่อเป็นนามเป็นเศรษฐี กุฎุมพี เป็นพ่อค้า มหากษัตริย์ มียศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำ นั้นเป็นชื่อเป็นนามอันหนึ่ง แต่ความทุกข์ร้อนนี้ไม่ขึ้นอยู่กับชาติชั้นวรรณะใด อยู่ในหัวใจด้วยกันทุกคนที่สร้างมันขึ้นมาเพราะอำนาจของกิเลสผลักดันให้สร้าง จึงต้องระงับดับกันด้วยศีลด้วยธรรม อย่าปล่อยจิตปล่อยใจจนเกินไป

ชาวพุทธของเรานี้แลที่เห็นผิดไปมากก็คือว่า ไม่มองดูจิตใจของเราที่เป็นที่สถิตแห่งธรรม เป็นที่สถิตแห่งบรมสุข มรรคผลนิพพาน มีแต่กิเลสเหยียบย่ำทำลาย เป็นตลาดของกิเลสทำงานเสียทั้งหมด จึงเป็นการสร้างฟืนสร้างไฟขึ้นที่ใจของเราโดยไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ จำต้องหาธรรมเข้ามาเป็นน้ำดับไฟ ให้มีขื่อมีแป ขื่อแปของจิตใจที่เป็นอยู่เวลานี้และจะตายไปก็ตาม ขอให้มีขื่อแปคืออรรถธรรม บุญกุศลสร้างขึ้นจะเกิดขึ้นที่ใจของเรานี้ไม่เกิดขึ้นที่ไหน บุญ บาป เกิดขึ้นที่ใจ เกิดขึ้นที่นี่ ให้สร้างหลักใจของเราไว้ อย่ามองข้ามใจไปโดยเห็นว่าวัตถุนั้นดี วัตถุนี้ดี สิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดี สิ่งที่กิเลสตัณหาหลอกลวงนั้นดีไปหมด แต่สิ่งที่ธรรมสอนไว้ตามหลักความเป็นจริงนั้นไม่มีใครเหลียวแล นี่สำคัญมาก เพราะฉะนั้นเราจึงคว้าน้ำเหลว ๆ

ตื่นนอนขึ้นมาเสาะแสวงหาตั้งแต่ความสุขความสมหวัง จนกระทั่งกลับมาถึงบ้าน พกเอาตั้งแต่กองทุกข์มหันตทุกข์เต็มหัวใจกลับมาบ้าน แล้วก็นอนไม่หลับ จากนั้นพอหลับนอนบ้างขึ้นมาวันหลัง ก็วิ่งเต้นขวนขวายหาความสุขความสมหวังอีกแล้ว แต่ความสุขความสมหวังนั้นไม่ว่าวันใดคืนใดเดือนใด ไม่เห็นปรากฏสนองความต้องการของผู้เสาะแสวงนั้นเลย ก็เพราะอำนาจแห่งการเสาะแสวงของกิเลสเป็นผู้นำ

ความโลภมันจะทำให้คนสมหวังที่ไหนได้ นี่คือกิเลสพาสร้าง ความโลภไม่มีเมืองพอ ความอยากได้ธรรมดา คนเราไม่ใช่คนตายย่อมมีความอยาก ความอยากนี้ไม่ถือว่าเป็นกิเลส เป็นสิ่งที่อยากนำมาเยียวยาธาตุขันธ์ความเป็นอยู่ของเรา และสร้างคุณงามความดีเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเอง นี้ไม่เรียกว่าความอยากที่เป็นภัย ความอยากที่เป็นภัยก็คือความทะเยอทะยาน อยากไม่หยุดไม่ถอย อยากไม่เพียงไม่พอ อยากตลอดเวลา ได้สมหวังบ้างไม่สมหวังบ้าง แต่ความอยากนั้นไม่เคยลดตัวลงเลย สร้างแต่ความทุกข์เพราะความดิ้นรนด้วยอำนาจแห่งความอยากนี้เข้าสู่หัวใจตลอดเวลา จึงเท่ากับสร้างกองทุกข์ขึ้นที่ใจของเราตลอดเวลา แล้วจะหาความสุขที่ไหนได้ วันไหนก็เป็นการหวังอย่างนี้สร้างอย่างนี้ ผลปรากฏขึ้นมาก็คือความได้ความเสีย ความสมหวังบ้างไม่สมหวังบ้าง สุดท้ายก็เป็นกองทุกข์เข้าสู่หัวใจของเรา

ท่านจึงสอนให้เห็นโทษของมัน อย่าโลภจนเกินเนื้อเกินตัวจนไม่มีป่าช้า คนทั้งโลกสัตว์ทั้งโลกเขาตายกองกันอยู่ที่ไหน เป็นป่าช้าที่นั่น แต่เราจะอยู่ค้ำฟ้าคนเดียวโดยอาศัยความโลภพาให้ยืนยงคงถาวรนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ต้องตายเหมือนกันกับโลกทั่ว ๆ ไป เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจึงควรย้อนจิตของเรา ให้ยับยั้งเข้ามาสู่ความพอเหมาะพอดีโดยอรรถโดยธรรม อย่าโลภจนเกินไป มันเป็นการทำลายตัวเอง ไม่ใช่เป็นการส่งเสริมตัวเองถ้าเกินไป ฟังแต่ว่าเกินไป ๆ นั้นคือฟืนคือไฟเผาไหม้เรา

ความโกรธเมื่อไม่ได้สมหวังแล้วก็เคียดแค้นขุ่นมัว ดีไม่ดีเกิดฆ่าฟันรันแทงขึ้นมาก็ได้ เพราะความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตนเองแล้วก็ไปเผาไหม้คนอื่นให้สมหวังในความโกรธ สุดท้ายความโกรธก็เผาทั้งเขาทั้งเรา นี่ก็เป็นภัยแก่เรา

ราคะตัณหา นี่ที่กล่าวนี้คือภัยของจิต ภัยแห่งความสุขของเรา กล่าวให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่าตัวภัยอยู่ที่ไหน เวลานี้สิ่งเหล่านี้อยู่ที่ไหน อยู่ที่หัวใจของพวกเราทั้งหลายนี้แล ธรรมจึงต้องชะต้องล้างลงที่จุดนั้น เพื่อชำระสิ่งสกปรกโสมมทั้งหลาย คือความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา นั้นคือสิ่งสกปรกโสมม ที่สกปรกมากที่สุดเด่นที่สุดเวลานี้ก็คือ ตัวราคะตัณหา อันนี้เด่นมากทีเดียว

ราคะคือความกำหนัดรักใคร่ ความกระสัน ความดิ้นรนกวัดแกว่งของราคะตัณหา ให้ดีดให้ดิ้นไม่มีวันหยุดยั้งชั่งตัว ไม่มีธรรมเป็นเครื่องระงับดับให้อยู่ในความพอดี เช่น สามีภรรยาถ้าเป็นธรรมแล้วก็เป็นที่เหมาะสมเรียบร้อยแล้ว มีผัวเดียวเมียเดียว ไม่ต้องยุ่งเหยิงวุ่นวายหาข้าศึกศัตรูภายนอก ที่เข้าใจว่าเป็นของดิบของดี มาเผาครอบครัวเหย้าเรือนของตน เช่น ผู้หญิงกาฝาก ผู้ชายกาฝาก แทรกเข้ามาที่ไหนเป็นฟืนเป็นไฟที่นั้น

ถ้าอยู่ลำพังสามีภรรยาตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้โดยมีขอบเขตแล้ว ก็จะมีความสุข มีความร่มเย็น มีความฝากเป็นฝากตายกันได้ เชื่อถือกันได้ เป็นอวัยวะเดียวกัน มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน ครอบครัวที่มีธรรมเช่นนี้เป็นครอบครัวที่ครองความสุข แต่ครอบครัวที่หาเศษหาเลยนั้นเป็นครอบครัวที่คว้าเอาฟืนเอาไฟมาเผาไหม้บ้านเผาเรือนของตน เพราะความไม่มีธรรมในใจ ปล่อยให้กิเลสไขว่คว้าหามาเผาตัวเองตลอดเวลา จึงหาความสุขไม่ได้ ราคะตัณหานี้มันเป็นอยู่กับทุกคน แม้แต่นักบวชก็ต้องชำระสะสาง ต้องแก้ไข ต้องเอากันอย่างรุนแรง ราคะตัณหานี้มันสำคัญมากทีเดียว

การกล่าวทั้งนี้เอาเครื่องยืนยันมาให้พี่น้องทั้งหลายทราบก็ไม่สะทกสะท้าน เพราะเราเคยผ่านมาแล้ว เป็นนักภาวนาไปอยู่ในป่าในเขาที่ไหนก็ตาม แต่ราคะตัณหาเป็นต้นนี้มันจะต้องติดแนบอยู่ภายในจิตใจ รบข้าศึกก็รบตัวราคะตัณหานี้เป็นที่หนึ่ง ๆ อยู่ในป่าในเขาไม่มีหญิงมีชายเข้าไปเกี่ยวข้องเลย หญิงชายที่เกิดขึ้นให้มีความกำหนัดยินดี ให้มีความทะเยอทะยาน ดีดดิ้นอยู่ภายในใจ มันก็เกิดเป็นภาพขึ้นที่ใจของเรา ปรุงถึงหญิง ปรุงหญิงนั้นหญิงนี้ ชายนั้นชายนี้ ผู้หญิงก็ปรุงหาผู้ชาย ผู้ชายปรุงหาผู้หญิง ด้วยอำนาจแห่งราคะตัณหากวนใจตลอดเวลา

นั่งภาวนาไม่ได้มันดีดมันดิ้น ต้องได้ใช้กำลังวังชาฟัดกันอย่างเต็มเหนี่ยว ตัวนี้เป็นตัวที่รบที่ฆ่าฟันกันอย่างหนัก หนักมากยิ่งกว่ากิเลสตัวใด บนเวทีแห่งนักภาวนาถึงรู้ เราเพียงเรียนมาเฉย ๆ จำมาเฉย ๆ กิเลสเหล่านี้ไม่สำคัญ เพราะมันปิดความสำคัญแห่งโทษภัยของมันไว้หมด มันจะให้มีแต่ความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้น ความกวัดแกว่งแห่งราคะตัณหาผลักดิ้นไปทั้งวันทั้งคืนเท่านั้น แต่เมื่อมีธรรมเข้าไปจับแล้ว มันจะคัดค้านต้านทาน จึงต้องได้ต่อสู้กันอย่างหนัก เพราะเป็นการรบกัน

รบกับกิเลสตัวใดก็ตาม ไม่ได้เหมือนรบกับกิเลสคือตัวราคะตัณหานี้ เอากันอย่างหนัก เอาชีวิตเข้าแลกเลย เพราะตั้งใจจะให้หลุดพ้นจากกิเลสประเภทนี้จนถึงพระนิพพานสด ๆ ร้อน ๆ ในชีวิตของเรานี้โดยถ่ายเดียวเท่านั้น จึงต้องได้ฟัดกันอย่างเต็มเหนี่ยว สุดท้ายก็สู้ธรรมไม่ได้ ธรรมคือสติธรรม ปัญญาธรรม ขันติธรรม วิริยธรรม เพียรเข้าไป อดเข้าไป สติใช้เข้าไป ปัญญาจ่อเข้าไป ฟาดฟันหั่นแหลกเข้าไป กิเลสที่ว่าตัวสำคัญนี้ก็พังลงจากหัวใจ ขาดสะบั้นให้เห็นประจักษ์ใจ

พอธรรมชาตินี้ได้ขาดสะบั้นลงจากใจแล้ว ใจนี้ดีดผึงขึ้นทันทีเลย เพราะปราศจากการกดการถ่วง การยึดการถือ การบีบคั้นบังคับต่าง ๆ อยู่กับราคะตัณหานี้ตัวรุนแรงมาก กองทุกข์ก็อยู่ที่นี่มากที่สุด แล้วโลกก็ชอบกิเลสตัวนี้มากที่สุด ไม่ยอมแยกยอมแยะจากกันเลย นอกจากจะหามาเพิ่มเข้าให้มาก มีเมียคนหนึ่งแล้วอยากได้สองเมีย อยากได้สามเมีย นี้เรียกว่าหามาเพิ่ม มีผัวคนหนึ่งแล้ว สองคนแล้วไม่พอ

ถ้าเป็นผู้ชาย ผู้หญิงเดินผ่านหน้ามาไม่ได้ ความรักความกำหนัดยินดีอันเป็นตัวกิเลสสำคัญตัวนี้ จะแสดงออกหน้าออกตาอยู่ภายในจิตใจ จะไม่มีวันอิ่มพอ เอาเมียมาแอบข้างไว้ เห็นผู้หญิงก็ไม่มองเมีย มันจะมองผู้หญิงข้างหน้านั้นแหละ แล้วผู้หญิงคนนั้นผ่านมาอีก มันจะมองอีก ๆ ผู้หญิงทั่วประเทศไทยผ่านหน้าตัวราคะตัณหานี้เป็นไม่ได้ มันกลืนไปหมดกินไปหมด รักไปหมด ชอบไปหมด กำหนัดยินดี ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เป็นบ้าไปทั้งวันทั้งคืนไปหมด ไม่มีคำว่าอิ่มพอ ท่านจึงเรียกว่า นตฺถิ ตณฺหาสมา นที แม่น้ำเสมอด้วยตัณหานี้ไม่มี เพราะมันรุนแรงอย่างนั้น

นี้ละความอิ่มพอของราคะตัณหานี้ไม่ว่าหญิงว่าชายเป็นเหมือนกันหมด เพราะกิเลสตัวนี้มันฝังอยู่ที่ภายในใจ แล้วแยกออกมาเป็นเพศว่าเป็นเพศหญิงเพศชาย แต่หลักใหญ่ของมันที่จะให้มีความดิ้นรนต่อเพศตรงกันข้าม มันเป็นหลักธรรมชาติอันหนึ่งอยู่ภายในจิตใจ ผลักดันออกมาตลอดเวลา คนจึงลืมตัวสร้างความชั่วช้าลามก หา หิริโอตตัปปะ ไม่ได้ เพราะอำนาจแห่งกิเลสตัวนี้มันกลบไว้หมด ปิดบังไว้หมด ให้มีแต่ทางเดินคือความอยาก ความทะเยอทะยาน ราคะตัณหาดิ้นรนไปท่าเดียวเท่านั้น ไม่มองเห็นบุญเห็นบาป ไม่มองเห็นสูงเห็นต่ำ ไม่มองเห็นว่าควรหรือไม่ควร มันมีตั้งแต่จะกินจะกลืนท่าเดียวไม่ต้องเคี้ยว กลืนไปเรื่อย ๆ ราคะตัณหาตัวนี้มันคล่องตัวของมัน

นี่เพราะไม่มีธรรมเป็นเครื่องยับยั้ง ไม่มีธรรมเป็นเบรกห้ามล้อ เพราะฉะนั้นเราเป็นชาวพุทธจึงขอให้มีธรรมอันเด็ดขาดต่อกิเลสตัวนี้ จะปฏิบัติในครอบครัวเหย้าเรือนของเราด้วยความสะดวกสบายตายใจกันได้ เพราะมีธรรมนี้เข้าครอบครอง มีธรรมเป็นเครื่องรักษา เมียไปที่ไหนก็ไปเถอะถ้ามีธรรมข้อนี้ภายในใจแล้ว ผัวไปที่ไหนไปเที่ยวการเที่ยวงานทำประโยชน์นอกบ้านในบ้าน มีรายได้มากน้อยได้มาเฉลี่ยเผื่อแผ่กันด้วยความตายใจ ด้วยความอบอุ่น ไม่มีการรั่วไหลแตกซึมเลย เพราะธรรม กาเมสุ มิจฉาจาร เป็นกำแพงอันหนาแน่นบังคับเอาไว้ คอขาดให้ขาดไปเลย เราจะมีเพียงเมียเดียวเท่านี้ นี่เรียกว่าเด็ดขาด

ต้องเอาธรรมเด็ดขาดเข้ามาปราบกิเลสตัวผาดโผนนี้ ไม่อย่างนั้นไม่ทัน นั่นท่านเรียกว่ามัชฌิมา กิเลสตัวนี้มันผาดโผน ธรรมะต้องผาดโผนโจนทะยาน ฟัดให้มันอยู่ในเงื้อมมือของเราแล้วจะสร้างความสุขขึ้นมา ในความเป็นผู้มีกำแพงธรรมอันหนาแน่นอยู่ภายในใจของตัวเอง ภายในความประพฤติของตัวเอง ในครอบครัวของเรานั่นแล ผัวก็ตายใจอบอุ่น เมียก็ตายใจ มีที่พึ่งที่ยึดที่เกาะ มีที่ฝากเป็นฝากตายมีฝั่งมีฝา อยู่ด้วยความอบอุ่น เงินทองข้าวของมีมามากน้อยเป็นผลพลอยได้ ๆ ไม่ได้เป็นความเดือดร้อนเพราะตัวของเรามีธรรมอันนี้เป็นเครื่องประกันอยู่แล้ว

ครอบครัวนั้นแลเป็นครอบครัวที่มีความสุข เป็นครอบครัวที่มีความเย็นใจ ฝากเป็นฝากตายกันได้ ลูกเต้าหลานเหลนเกิดขึ้นมาถือพ่อแม่เป็นแบบพิมพ์ ถือพ่อแม่เป็นตัวอย่าง แล้วก็กลายเป็นเด็กดีมีธรรมขึ้นภายในตัว ชาติไทยของเราซึ่งเป็นชาติแห่งชาวพุทธนี้ก็จะมีฝั่งมีฝามีเขตมีแดน มีเขามีเรา มีสูงมีต่ำ มีพ่อมีแม่ มีพี่มีน้อง ไม่ให้ราคะตัณหากลืนไปเสียหมดโดยถ่ายเดียว เพราะมีธรรมเป็นเครื่องสกัดลัดกั้นเอาไว้ เราที่เป็นชาวพุทธต่างก็มีฝั่งมีฝาด้วยกัน

เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่พี่น้องชาวไทยเราซึ่งเป็นชาวพุทธ จะต้องนำธรรมนี้เข้ามารักษาอย่างเข้มงวดกวดขัน เพราะเวลานี้กิเลสตัวนี้กำลังตีตลาดลาดเล คนทั้งคนกลายเป็นหมาทั้งประเทศไป เพราะกิเลสอันนี้เข้าทำลายไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว คำว่าคนกลายเป็นหมานั้นเป็นอย่างไร ก็เพราะจิตใจเหมือนหมา ชอบแต่ของสกปรกโสมม ไม่ระลึกถึง หิริโอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมอะไร มีแต่กิเลสราคะตัณหาฉุดลากไปโดยถ่ายเดียว ไม่มีผัวไม่มีเมีย ไม่มีของเขาของเรา ไม่มีพ่อมีแม่ ไม่มีพี่มีน้อง กลืนไปหมด เสพสมกันไปได้หมดยิ่งกว่าหมา นี่ท่านว่าเก่งกว่าหมา

วิชาราคะที่ส่งเสริมมันอย่างนี้ มันรุนแรงมาก เพราะฉะนั้นให้ระมัดระวังกัน สมกับที่เราเรียนวิชาความรู้มาจากที่ต่าง ๆ เพื่อมาเป็นเครื่องประดับตัวของเรา ประดับชาติของเรา เพื่อเป็นการอาชีพของเราทุกด้านทุกทาง แต่อย่าให้กิเลสตัวนี้เอามาเป็นเครื่องมือเผาไหม้บ้านเมืองของเรา ด้วยความเรียนมามาก สำคัญตนว่ามีความรู้สูง เรียนชั้นนั้นชั้นนี้ แล้วเสกสรรปั้นยอตัวเองขึ้นว่าเป็นเศรษฐี กุฎุมพี แต่มหันตทุกข์ที่ฝังอยู่ภายในหัวใจเพราะกิเลสตัวนี้ทำลายไม่คำนึงกัน เพราะไม่มีธรรมอย่างนี้ อย่าให้มี

ให้ลดน้อยลงไปถึงจะมี เราละมันไม่ได้ก็ตาม เพราะกิเลสตัวนี้ละยากมากที่สุด ตั้งแต่ผู้ขึ้นเวทีต่อกรกับมันยังพัง ให้มัน กุสลา ธมฺมา ไปได้ นี่ได้เห็นประจักษ์กับหัวใจของเราเอง ที่ได้ขึ้นเวทีมาแล้วก่อนที่จะมาแสดงธรรมให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ได้เอากันเต็มสัดเต็มส่วนสุดเหวี่ยงในกิเลสตัวนี้ จนกระทั่งกิเลสตัวนี้ได้พังลงจากหัวใจแล้ว ไม่มีอะไรมาดีดมาดิ้นมากีดมาขวาง จึงทราบได้ประจักษ์ใจว่า มีกิเลสตัวนี้เท่านั้นที่เป็นตัวก่อโลกวินาศ ตัวไม่มีบาปมีบุญ ลบล้างไปหมดคือราคะตัณหานี้มันแก่กล้าสามารถ ไม่มีสูงมีต่ำ กลืนไปได้หมด จึงต้องมีธรรมเป็นเครื่องกั้นกาง เป็นกำแพงหวงห้ามเอาไว้

เราชาวพุทธขอให้รักษาให้เด็ด เวลานี้กิเลสตัวนี้กำลังตีตลาดเต็มบ้านเต็มเมือง การอยู่ก็อยู่เพื่อกิเลสตัวนี้เป็นส่วนมาก อยู่อย่างหรูหราฟู่ฟ่า การกินก็ดีก็กินเพื่ออันนี้เป็นส่วนมาก กินเพื่อประดับยศให้เขาว่าเราเป็นเศรษฐี กุฎุมพี มีเงินมีทองเป็นเจ้าหน้าเจ้าตา เลี้ยงไม่อัดไม่อั้น ส่วนเงินไหลออกไปเท่าไร ๆ เพราะความฟุ้งเฟ้อของตัวเองไม่คำนึง ก่อความเสียหายขึ้นทุกแห่งทุกหน เพราะต่างคนต่างสนใจแบบเดียวกัน ก็เป็นการทำลายชาติลงไปด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่มีมัธยัสถ์ ไม่มีความรู้เนื้อรู้ตัวฝังอยู่ในจิตใจเลย เพราะราคะตัวนี้

การใช้การสอยอย่างฟุ่มเฟือย ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ คว้าเอา ๆ ที่ไหนมาคว้าไว้ ๆ ไม่มีก็คว้าหา ก็เพราะเพื่อราคะตัณหาตัวนี้มันรุนแรงมากทีเดียว จึงพากันระมัดระวังให้มีศีลมีธรรม ราคะตัณหานี้ละยาก ถึงเราละมันไม่ได้ก็ตาม ก็ขอให้เป็นเหมือนกับว่าไฟอยู่ในเตา กามเป็นคุณ เราครองกันด้วยความสงบเย็นใจ ด้วยความผาสุก นี่เรียกว่ากามเป็นคุณ เพราะมีธรรมเข้าควบคุม ถ้าปราศจากธรรมเสียอย่างเดียวเท่านั้นก็กลายเป็นกามโทษขึ้นมา เป็นโทษอย่างรุนแรงคือสิ่งเหล่านี้ ให้พากันระมัดระวัง

เรื่องราคะตัณหาอย่าให้ออกหน้าออกตาจนเกินไป เวลานี้รู้สึกว่าจุ้นจ้านมาก ดูแล้วดูไม่ได้ สกปรกรกรุงรังไปหมด แต่งเนื้อแต่งตัวโก้หรูเข้ามา แต่หัวใจเป็นฟืนเป็นไฟ เหมือนเป็นส้วมเป็นถานอยู่ภายในหัวใจดูไม่ได้นะ แต่งออกมาเป็นเครื่องประดับร้านเฉย ๆ แต่งเนื้อแต่งตัวก็เพื่อหลอกล่อกิเลสนั่นแหละ ให้กิเลสจูงไป ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างฟุ่มเฟือย ๆ ด้วยอำนาจของกิเลสตัวนี้ ๆ เมื่อกิเลสตัวนี้ค่อยเบาบาง มีธรรมเป็นเครื่องยับยั้งแล้ว การอยู่การกินการใช้การสอยก็จะรู้จักประมาณ พอดีพองามบ้าง

เราจึงต้องให้หนักแน่นทางด้านธรรมะ อย่าให้กิเลสมันพาหนักแน่น ชาติไทยของเราจะล่มจม อย่าว่าแต่คนไทยเราแต่ละคน ๆ เมื่อต่างคนต่างสั่งสมสิ่งเหล่านี้ให้มากขึ้นแล้ว จะเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ชาติบ้านเมืองของเราได้ไม่สงสัย จึงต้องมีน้ำดับไฟ เพราะฉะนั้นศาสนาจึงต้องมี ไม่มีศาสนาไม่ได้นะ แหลกสะบั้นไปหมด ท่านจึงเรียกว่าธรรม เรียกว่าโลก โลกคือหมู่สัตว์ที่อยู่กันด้วยความสุขความทุกข์ คลุกเคล้ากันไป ทั้งเขาทั้งเราเต็มโลกธาตุ คำว่าธรรมคือความร่มเย็นแก่สัตว์ทั้งหลาย นี่เรียกว่าธรรม หากว่าเราต้องการมีความสงบร่มเย็นก็ต้องหมุนตัวเข้าสู่ธรรม นำธรรมไปประพฤติปฏิบัติ กำจัดสิ่งชั่วช้าลามกทั้งหลายนี้ให้ออกจากจิตใจของเราโดยลำดับ เราก็จะเป็นผู้มีความผาสุกร่มเย็น

และข้อสำคัญคือการบำรุงจิตใจ ร่างกายของเราทั้งร่างนี้มีจิตเป็นตัวครอง มีจิตเป็นหลักใหญ่ภายในใจ จิตนี้คือรู้ ธรรมชาตินี้คือรู้ เรียกว่าจิต นี่ละครองร่างอยู่เวลานี้ มนุษย์หญิงชายเราจึงเป็นหญิงเป็นชาย รู้นั้นรู้นี้ เพราะความรู้นี้ส่งกระแสออกไปในที่ต่าง ๆ เช่นอวัยวะของเรานี้มีเครื่องมือของจิตรอบตัว จิตเป็นแต่เพียงว่ารู้ รู้ทางตา คือประสาทส่วนตาที่ใช้สำหรับดูนั้นดูนี้ ประสาททางหู ประสาททางลิ้น ทางกาย เป็นประสาทเครื่องมือของใจ เมื่อใจได้ออกจากร่างนี้แล้ว ประสาททั้งหลายก็เหมือนกับเครื่องมือที่เราใช้ในงานต่าง ๆ ไม่มีความหมายอะไรเลย ทิ้งไว้เกลื่อนอย่างนั้นแหละ

ร่างกายของเราที่ทิ้งเกลื่อนอยู่เป็นป่าช้า ก็เพราะจิตถอนตัวออกไปแล้ว จิตนั้นไม่เคยตาย ขอให้พี่น้องทั้งหลายจดจำคำนี้ไว้อย่างถึงใจ ว่าใจไม่เคยตาย ใจเป็นหลักภายในจิตใจแต่ไม่เคยตาย หากเกิดในที่ไม่แน่นอน อันเรื่องความเกิดความตายนี้เป็นคู่กันมาดั้งเดิม คำว่าสูญไม่มี ตายแล้วสูญอย่างนี้ไม่มีในธรรมของพระพุทธเจ้า

ทรงรู้ละเอียดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่าน ท่านรู้หมดตั้งแต่ร่องรอยของภพของชาติที่เกิดขึ้นมาเพราะอะไรเป็นสาเหตุ ท่านก็ตามร่องรอยเข้าไป จนกระทั่งถึงสาเหตุแห่งวัฏจักร ที่พาให้สัตว์เกิดสัตว์ตายคืออะไร คือกิเลสอวิชชา ฝังอยู่ภายในใจนั้น เมื่อถอนกิเลสอวิชชานี้ออกจากใจหมดแล้ว ขาดสะบั้นลงจากใจแล้วเป็นผู้บริสุทธิ์พุทโธ สิ้นแล้วจากความเกิดอีก ไม่ต้องมาเกิดมาตายเป็นป่าช้าทับถมกันอยู่นี้ต่อไปอีกแล้ว นี่เพราะเชื้อของมันมีอยู่ภายในใจ ใจจึงต้องเกิดต้องตาย ๆ ตลอดเวลาไม่มีสิ้นสุด กี่กัปกี่กัลป์ก็เกิดก็ตายอย่างนี้

เช่นร่างกายของเราคนเดียวนี้ หากว่าเราจะนับร่างกายของเราไม่ให้สลายไปไหน ตายแล้วก็ให้เป็นขอนซุง ๆ เป็นร่าง ๆ ทิ้งไว้ ๆ ตายชาติใด ๆ ทิ้งไว้ ๆ นี้ เพียงเราคนเดียวเท่านั้นประเทศไทยของเราทั้งประเทศ หาที่วางศพของเราคนเดียวไม่ได้ เพราะมากต่อมากไม่มีที่วาง เนื่องจากเกิดกับตาย ๆ มีมากี่กัปกี่กัลป์แล้วของเราคนเดียว ๆ แล้วสัตวโลกเต็มไปหมดต่างคนต่างมีซากมีศพมีเกิดมีตายเหมือนกัน เราจะเอาโลกไหนไว้ศพของเรา นี่คือความเกิดตายไม่หยุดเป็นอย่างนี้

แต่เพราะเราไม่ทราบวิถีทางเดินแห่งความเกิดตายของเรามา เราจึงไม่ทราบว่าเราเกิดมาจากภพใดชาติใด ตายแล้วจะไปสู่ที่ไหน มิหนำซ้ำกิเลสตัวสำคัญมันยังมาลบอีกว่าตายแล้วสูญ ทั้ง ๆ ที่หลักความจริงแล้วไม่มีสูญ มีแต่เกิดกับตาย ๆ มันยังมาลบล้างได้ให้เราลืมเนื้อลืมตัว เมื่อคนเราสำคัญว่าตายแล้วสูญแล้ว ย่อมหมดเครื่องสืบต่อที่จะหวังอะไรไม่ได้แล้ว เพราะว่าตายแล้วก็สูญเท่านั้น บุญทำก็ไม่ได้ผล ทำบาปไม่ได้ผล เพราะไม่มีใครเป็นผู้เสวยผลที่ทำลงแล้ว ตายแล้วสูญ กิเลสก็พาให้สนุกทำบาปทำกรรม สร้างแต่บาปแต่กรรมลงไปโดยลำดับ

เมื่อตายแล้วมันไม่ได้เป็นตามความสำคัญนั้น มันเป็นไปตามหลักความจริง ตายแล้วก็ต้องจมลงไปเพราะอำนาจแห่งบาปแห่งกรรมที่ตนนั้นแลทำ ไม่ใช่ผู้อื่นใดทำ เราเป็นผู้ทำบาปทำบุญในหัวใจของเรา ในกายของเรา ในวาจาของเรา บุญก็เกิดขึ้นจากนี้ รวมตัวเข้าไปสู่หัวใจของเราดวงเดียวนี้ แล้วพาไปสวรรค์บ้าง ไปพรหมโลกบ้าง ไปนรกบ้าง ไปเป็นเปรตเป็นผีเป็นสัตว์เป็นบุคคลประเภทต่าง ๆ หาประมาณไม่ได้ เพราะอำนาจแห่งกรรมที่เราทำนั้นแล ตามติดเราให้ได้รับความสุขความทุกข์เรื่อยมา นี่เพราะใจไม่ตายนั่นแล

เมื่อเรารู้แล้วว่าใจไม่ตาย ให้พากันสร้างความดีเอาไว้ การให้ทานก็เป็นความดี เป็นที่ยึดที่เกาะของใจประเภทหนึ่ง การรักษาศีล การภาวนามากน้อย เป็นความดีแต่ละสัดละส่วน รวมเข้ามาสู่หัวใจของเรานี้ เมื่อหัวใจของเราเต็มดวงแล้ว ความดีทั้งหลายนี้หนุนเราให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ เช่น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้ว เป็นผู้ถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานโดยสมบูรณ์แล้ว นี่เพราะอำนาจแห่งความดีสร้างเข้าสู่หัวใจหนุนหัวใจ เมื่อเต็มที่แล้วหัวใจก็หลุดพ้นได้จากความดีที่หนุนนั้นแล

เราให้สร้างหลักใจไว้ให้ดี อย่ามีตั้งแต่วัตถุสิ่งของเงินทอง อารมณ์ต่าง ๆ เข้ามายั่วยวนภายในจิตใจจะให้ลืมเนื้อลืมตัวไปโดยลำดับ แล้วไม่สนใจสร้างความดี ตายแล้วก็จม ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร นี่หลักสำคัญที่ว่าเราเป็นชาวพุทธ ให้เชื่อกรรม หลักพุทธศาสนาท่านสอนลงที่กรรม กรรม แปลว่า การกระทำ คิดภายในใจ เรียกว่า มโนกรรม พูดออกมาทางวาจา เรียกว่า วจีกรรม ทำทางกาย เรียกว่า กายกรรม คิดดีคิดชั่ว เรียกว่า มโนทุจริต มโนสุจริต เป็นความดีความชั่วตั้งแต่จิตเคลื่อนออกมาคิดในแง่ต่าง ๆ ทางดีทางชั่ว นี่เรียกว่า สร้างกรรมแล้ว ผลของกรรมดีชั่วก็จะติดตามจิตนั้นไป

เราจะไปเกิดในสถานที่ใดก็ไปเพราะอำนาจแห่งกรรม ท่านจึงกล่าวไว้ในหลักบาลีว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ กรรมย่อมจำแนกแจกสัตว์ทั้งหลายให้เป็นผู้ประณีตเลวทรามต่าง ๆ กัน อย่างอื่นอย่างใดไม่มีอำนาจมาจำแนกแจกสัตว์ทั้งหลายให้ประณีตเลวทรามต่างกัน นอกจากกรรมดีกรรมชั่วของตนที่สร้างไว้เท่านั้น จึงต้องให้ระมัดระวังเรื่องการทำ ไม่ตกหายไปไหน

เราอย่าเข้าใจว่าเราทำอยู่ที่แจ้งคนเห็นจะเป็นบาป เราทำที่ลับคนไม่เห็นไม่เป็นบาป อันนั้นเป็นความคิดของกิเลสหลอกตัวเองทำลายตัวเองต่างหาก ความจริงแล้วทำอยู่ที่แจ้ง ทำอยู่ที่ลับ ทำอยู่ที่ไหน ๆ เราก็รู้ตัวของเราว่าทำ ความรู้ตัวนั้นไม่มีที่ลับ เปิดเผยอยู่กับความรู้สึกของเรา เราเป็นผู้ทำสิ่งใด เวลากรรมให้ผลก็ไม่มีที่แจ้งที่ลับ เราจะไปฉกไปลักไปปล้นไปสะดม คดโกงรีดไถเขามาด้วยวิธีการใด ๆ ก็ตาม ที่แจ้งก็ตาม ที่ลับก็ตาม เป็นความชั่ว เป็นความผิด เป็นบาปเป็นกรรมด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีคำว่าที่แจ้งที่ลับ

เวลาตายก็ไม่ต้องว่าตายกลางวันกลางคืน ตายในที่แจ้งที่ลับ บุญกรรมนั้นแลจะเป็นผู้นำไป ที่แจ้งที่ลับ สถานที่ต่าง ๆ ไม่สามารถที่จะตามเราไป หนุนเราไป ปลดเราลงสู่นรกได้ นอกจากบุญกรรมที่เราสร้างนี้ไว้เท่านั้น จงพากันสร้างความดีเข้าสู่ใจ ใจให้มีหลักยึด ให้มีความเข้มแข็งบ้างสำหรับชาวพุทธเรา อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนเกินไป ตื่นขึ้นมาวันหนึ่ง ๆ ดิ้นรนกระวนกระวายหาแต่ความเหลวไหล สาระของใจไม่มี อย่างนี้เป็นคนหมดความหมาย ทั้งที่มีชีวิตอยู่ก็ไม่มีความหมายอะไร ตายแล้วตัวนั้นแหละจะช่วยตัวเองหรือทำลายตัวเอง ก็คือตัวของเราผู้สร้างดีสร้างชั่วนั่นแหละ

ให้เชื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่เคยโกหกพกลมต่อผู้ใด ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ตรัสเป็นคำเดียวกันทั้งนั้น เป็นภาษาที่ตรงไปตรงมา ภาษาของธรรมเป็นภาษาที่สะอาดที่สุดตายใจได้ ไม่มีคำว่าหลอกลวงต้มตุ๋นประดับร้านต่าง ๆ เหมือนกิเลสหลอกสัตวโลกดังที่เราเห็นอยู่เวลานี้ก็ดี เวลาไหนก็ดี กิเลสจะไม่เอาความจริงออกมาให้โลกเห็น จะเอาตั้งแต่ความหลอกลวงต้มตุ๋นทั้งนั้นมาประดับร้าน ทางภายในมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้หัวใจ เพราะกิเลสมันเผาเอง และเป็นผู้ประดับร้านให้สัตว์ทั้งหลายหลงตาม ก็คือกิเลสเป็นผู้ประดับร้าน เป็นผู้หลอกลวงเอง เราจึงมีแต่ท่าเสีย ท่าได้ไม่มี เสียเปรียบกิเลสโดยถ่ายเดียว มันหลอกลวงต้มตุ๋นตลอดเวลา

ให้เอาธรรมเข้าไปจับมันบ้าง ให้มีสติธรรม ปัญญาธรรม ระลึกรู้ตัวอยู่โดยสม่ำเสมอ เขาชมเชยว่าดีก็อย่าตื่นจนเกินไปจนเสียคน เขาตำหนิก็เชื่อจนเกินไปตื่นเกินไปจนเสียคนอีกอย่างเดียวกัน เพราะไม่มีสติปัญญาธรรมเป็นเครื่องยับยั้งตัวเอง ให้ทรงตัวอยู่ในความพอเหมาะพอดี

วันนี้ได้มาแสดงธรรมให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเกี่ยวกับเรื่องอรรถเรื่องธรรม เพราะเราเป็นชาวพุทธไม่ค่อยได้สนใจในอรรถในธรรมเท่าที่ควรกับเราเป็นชาวพุทธ แล้วที่นี่ความชั่วช้าลามกก็ยิ่งต่างคนต่างส่งเสริม ต่างคนต่างขวนขวายกันขึ้นมา ฟืนไฟก็เผาไหม้เข้ามา ทั้งตัวของเราเองก็หาความเย็นไม่ได้ ครอบครัวของเราหาความเย็นไม่ได้ ส่วนรวมตั้งแต่ย่อยถึงใหญ่หาความเย็นไม่ได้ เพราะมีแต่ผู้สร้างฟืนสร้างไฟเข้าเผากัน สุดท้ายก็เผาบ้านเผาเมืองเผาชาติของเรา ด้วยความประพฤติเหลวแหลกแหวกแนวนี้แล จะเป็นภัยมาจากที่ไหน

คือความไม่ดีของแต่ละราย ๆ ที่สร้างลงไปนั้นละเป็นการทำลายตัวเอง เป็นการทำลายส่วนรวม และเป็นการทำลายชาติไปในตัว โดยเหตุนี้จึงต้องได้ใช้ธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษา การอยู่ขอให้อยู่ด้วยความพอเหมาะพอดี อย่าได้อยู่ด้วยความตื่นโลกตื่นสงสารจนเกินไป สร้างบ้านสร้างเรือนกี่หอกี่ห้องกี่หับ ไม่ว่าโรงแถวโรงยาวไม่ว่าอะไร ไม่พอกับความอยาก สร้างให้มันเท่าไรความอยากมันยิ่งดึงดันไปถูลากเราไปเรื่อย ๆ ก็จะจมได้เหมือนกัน

ให้รู้จักประมาณ การอยู่ก็ให้ประหยัด อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมจนเกินเนื้อเกินตัว จะเสียเราเอง เสียส่วนรวม เสียชาติของเราเอง การกินก็ให้กินพอเหมาะพอดี ปากท้องเรามีเพียงไร ธรรมดาปากท้องของคนก็ไม่ได้ใหญ่โตนักนะ ขวนขวายหามาอยู่มากินวันหนึ่ง ๆ ก็พอเหมาะพอดี ไม่ถึงกับต้องดิ้นรนวุ่นวายจนกระทั่งเดือดร้อนไปทั้งโลก เพราะความไม่พอเข้าทำลาย อันนี้สำคัญมาก

อยู่กินให้พอเหมาะพอดี การใช้การสอยให้พอเหมาะพอดี เป็นการประหยัดอยู่ในตัวของเรา ให้ตั้งหน้าตั้งตาต่างคนต่างประหยัด แล้วจะเป็นการบำรุงส่งเสริมชาติไทยของเราขึ้นในตัว นี่เรียกว่าการบำรุงต้นเหตุ ให้ต่างคนต่างรู้เนื้อรู้ตัว ปรับปรุงเข้าสู่แนวอรรถแนวธรรมซึ่งมีประมาณพอดิบพอดี แล้วชาติไทยของเรา ชาวพุทธของเราก็จะมีที่ยึดที่เกาะ ทั้งภายนอกก็อาศัยถิ่นฐานบ้านเรือนอาหารการกิน ภายในก็มีศีลมีธรรม มีพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นเครื่องระลึกภายในใจ ใจก็มีที่พึ่ง คือ ธรรมเป็นที่พึ่ง บุญเป็นที่พึ่ง ร่างกายก็มีที่อยู่ที่อาศัยปัจจัยต่าง ๆ เป็นที่พึ่งเป็นที่อาศัย เราก็ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย เวลาตายไปใจของเรามีบุญเราก็ไปเกิดในสถานที่ดีคติที่เหมาะสมเรื่อย ๆ ไป นี่เพราะอำนาจแห่งความดี

จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายนำธรรมะที่หลวงตาแสดงในวันนี้ไปประพฤติปฏิบัติ การช่วยโลกช่วยสงสารช่วยบ้านช่วยเมืองนั้นช่วยทางด้านวัตถุ ก็ขอร้องจากพี่น้องทั้งหลาย ต่างคนต่างมีกำลังวังชาศรัทธามากน้อยก็มาบริจาคร่วมกัน รวมกันเข้าหนุนชาติของเราที่เห็นว่ากำลังบกพร่องอยู่มากเวลานี้ ทางด้านจิตใจนั้นเป็นสิ่งที่ขาดอรรถขาดธรรม บกพร่องมากทีเดียว จึงต้องแสดงอรรถแสดงธรรมให้พี่น้องทั้งหลายนำธรรมเข้าสู่ใจ จะเป็นเครื่องอุ้มชูจิตใจของเราให้มีความร่มเย็นเป็นสุข แล้วก็จะเป็นเครื่องอุ้มชูชาติของเราขึ้นในขณะเดียวกัน

เพราะความมีธรรมในใจย่อมมีความแน่นหนามั่นคง มีหลักมีเกณฑ์ภายในใจ บ้านเมืองเราจะเจริญรุ่งเรือง จิตใจเราก็มี พุทโธ ธัมโม สังโฆ ประจำใจ ไม่ไขว่คว้าเสียอย่างเดียว เราก็มีหลักมีเกณฑ์ อยู่ก็มีหลักมีเกณฑ์ มีความแน่ใจต่อความเป็นอยู่ของเราว่า เป็นอยู่ด้วยธรรม เป็นอยู่ด้วยความมีที่พึ่งคือธรรม ตายไปแล้วเราก็อาศัยธรรมเป็นที่พึ่งตลอดไป นี่เป็นหลักใหญ่สำหรับชาวพุทธเรา ขอให้ปฏิบัติทั้งสองด้านนี้โดยความสม่ำเสมอ

การขวนขวายวิ่งเต้นหาปัจจัยเครื่องอาศัยต่าง ๆ สำหรับร่างกาย สำหรับการทำบุญให้ทาน เราก็วิ่งเต้นขวนขวายหามา การที่จะทำความดีต่อจิตใจของเรานี่ด้วยการให้ทาน การรักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนา นั่งสมาธิภาวนาเพื่อใจให้สงบก็ขอให้พากันทำเป็นชิ้นเป็นอันเป็นล่ำเป็นสัน เหมือนกับเราวิ่งเต้นทางโลก แล้วเราก็จะมีความอบอุ่นภายในจิตใจของเรา นี่เป็นหลักสำคัญมาก

ศาสนาท่านสอนลงที่ใจ เพราะใจไม่เคยตาย แต่ความทุกข์ความทรมานนี่เป็นโรคเรื้อรังประจำใจ หมอไหนมารักษาก็ไม่หายถ้าไม่ใช่หมอธรรม ธรรมนั้นแหละเป็นเครื่องเยียวยารักษาได้ เรียกว่า ธรรมโอสถ นำมาเยียวยารักษาใจของเรา จะมีความเป็นปึกแผ่นมั่นคงขึ้นเป็นลำดับ

การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ที่พี่น้องทั้งหลายมีท่านผู้เป็นประธานในหออะไร หลวงตาเป็นพระป่าไม่ทราบว่าชื่ออะไร ที่มาเป็นประธานแก่พี่น้องทั้งหลายวันนี้ ก็นับว่าเป็นสิริมงคลแก่ชาติไทยของเราอย่างยิ่ง เพราะการมาของหลวงตาบัว การนำของหลวงตาบัวนี้นำชาติ มาเพื่อชาติ กิริยาทุกสิ่งทุกอย่างนี้ทุ่มลงเพื่อชาติทั้งนั้น หลวงตาไม่มีอะไร เปิดอกให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายได้ทราบในผลแห่งธรรมที่ได้ปฏิบัติมา ประจักษ์ในหัวใจตัวเองว่า เราไม่มีอะไรบกพร่องในหัวใจของเรา ธรรมเต็มหัวใจ ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว หมดแล้วเรื่องการขวนขวายหาอรรถหาธรรมต่อไป เพราะ ใจเต็มธรรม ธรรมเต็มใจ เป็นอันเดียวกันแล้ว อยู่กับความพอ ไม่ได้อยู่กับอะไร

สามแดนโลกธาตุนี้จิตไม่เคยข้องแวะกับสิ่งใดแม้เม็ดหินเม็ดทราย มีความพอตลอดเวลา สว่างกระจ่างแจ้งครอบโลกธาตุมาเป็นเวลา ๔๘-๔๙ ปีนี้แล้ว ตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นต้นมา สถานที่ได้ถึงจุดหมายปลายทางนี้ก็คือวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร นั่นเป็นสถานที่ฟัดกับกิเลสตัวสร้างภพสร้างชาติ ตัวเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้หัวใจมากี่กัปกี่กัลป์ ได้ขาดสะบั้นลงที่วัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่ม ด้วยจิตตภาวนา

การห้ำหั่นกับมันได้เผาศพกิเลสให้เรียบร้อยตั้งแต่บัดนั้นมา ทรงความสง่างามอันล้นพ้น ไม่ทูลถามพระพุทธเจ้าว่านิพพานเป็นอย่างไร ไม่ทูลถามพระสาวกอรหันต์ท่านว่าการสิ้นกิเลสเป็นอย่างไร เพราะเป็นของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน สนฺทิฏฺฐิโก ความรู้เองเห็นเอง พระองค์ประกาศมาหาธรรมจุด ธรรมจุดนี้ได้ปรากฏขึ้นแล้วในตัวของเราเอง แล้วเราจะไปทูลถามใครอีก จึงไม่ทูลถามใคร

นี่เป็นผลแห่งความพอในหัวใจของเราที่ได้บำเพ็ญธรรมมาตั้งแต่วันออกบวชและปฏิบัติมาจนกระทั่งถึงวันนั้น วันเผาศพกิเลสนั้นเป็นวันยุติ เป็นวันหยุดเป็นวันขาดสะบั้นลงแห่งภพชาติทั้งหลาย เราจะมาเกิดในชาตินี้เพียงชาติเดียวนี้เท่านั้น จะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เพราะความเกิดอีกคือกิเลส ได้ขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ บนวัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่ม ที่จังหวัดสกลนคร ตั้งแต่บัดนั้นมาเราทรงความพอมาตลอด ไม่เคยเคลื่อนคลาดขาดบิ่นไปไหน สมบูรณ์บริบูรณ์เต็มที่ด้วยความประจักษ์ใจ

สิ่งที่ห่วงใยก็คือโลกสงสาร จึงได้อุตส่าห์พยายามทำประโยชน์แก่โลกด้วยความเมตตาเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ ทำไม่หยุดไม่ถอย มีเท่าไรทุ่มลงหมด วัดนี้ไม่มีการสั่งสม มีมากมีน้อยเท่าไรทำประโยชน์เพื่อโลกทั้งนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งถึงมาวาระสุดท้ายนี้ เมืองไทยของเรากำลังเอนเอียงมาก ดีไม่ดีจะถึงขั้นล่มจมได้ เราก็อดไม่ได้ เพราะความเมตตานี้มีประจำเป็นพื้นฐานอยู่กับใจนี้แล้ว จึงต้องได้มาประกาศตนเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลาย ตั้งแต่วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๔๑ มาจนกระทั่งบัดนี้

มาเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลายนี้เพื่อชาติบ้านเมือง มาขอทานพี่น้องทั้งหลายนี้ ขอทานโดยธรรม ขอทานด้วยความเมตตา ไม่ได้มาขอทานด้วยเป็นแบบทุคตะเข็ญใจดังที่เขาขอทานกัน นี่เราขอทานด้วยความเมตตา ด้วยความสงสารชาติบ้านเมืองของเรา เราขอทานเพื่ออุ้มชาติบ้านเมืองของเรา จึงผิดกับการขอทานทั้งหลาย เรียกว่าขอทานเพื่อเกียรติแก่ชาติไทยของเรา เพื่อเทิดทูนชาติไทยของเราจากการบริจาคของพี่น้องทั้งหลาย มีมากมีน้อยให้ต่างท่านต่างขวนขวาย ต่างท่านต่างเอาจริงเอาจังต่อชาติของเรา

เพราะชาติไทยนี้ไม่เคยเป็นบ๋อยเป็นน้อยแก่ผู้ใดมาดั้งเดิม เป็นชาติที่ทรงสง่าราศีดีงาม ตลอดศีลธรรมเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ แล้วเวลานี้กำลังเอนเอียงลงมาก จึงต้องได้ช่วยกันอุดหนุนชาติไทยของเรา ด้วยการบริจาคเป็นเงินเป็นทอง เงินสด ดอลลาร์อะไร สองสามประเภทนี้ เพื่อหนุนชาติไทยของเราให้หนาแน่นขึ้นไปโดยลำดับ อย่างน้อยให้ทรงตัวได้ มากกว่านั้นให้มีความสง่างาม จะเป็นที่เย็นใจแก่พี่น้องชาวไทยทั้งชาติ ชาติเพื่อนบ้านเขาจะไม่ได้มาดูถูกเหยียดหยามชาติไทยของเรา เป็นชาติที่ต่ำต้อยน้อยหน้า ไม่มีคุณค่า ไม่มีราคา เขาเอารัดเอาเปรียบชี้หน้าชี้ตา การซื้อการขายก็เอารัดเอาเปรียบ ชี้หน้าชี้ตาเราตลอดเวลา เรารู้สึกว่าเสียเปรียบหาคุณค่าไม่ได้

เราจึงไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ในชาติไทยของเรา จึงต้องได้ช่วยกันเต็มเม็ดเต็มหน่วยให้สง่างามขึ้นประจักษ์ในชาติไทยของเราด้วย ให้ชาวเมืองนอกเมืองนาเพื่อนบ้านทั้งหลายเขาได้มองเห็นชาติไทยของเรา ด้วยความเป็นผู้มีสง่าราศีด้วย แล้วจะเป็นสิริมงคลแก่พี่น้องทั้งหลาย

วันนี้ได้แสดงธรรมให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั้งทางด้านวัตถุเพื่อนำชาติของเรา ได้แสดงทั้งอรรถธรรมเพื่อนำธรรมเข้าสู่ใจ กระตุ้นเตือนใจของเราให้ยับยั้งชั่งตัวในสิ่งที่จะเสียหายทั้งหลาย อย่าหลวมตัวเข้าไปด้วยความเพลิดเพลินไม่มีสติสตัง จะเสียผู้เสียคน ให้มีการยับยั้งตัวเอง จึงเป็นการนำสองประเภท การนำด้วยวัตถุเงินทองข้าวของเพื่อชาติประการหนึ่ง การนำเพื่อจิตใจของพี่น้องทั้งหลาย จะได้ประคองตัวและชาติบ้านเมืองของเรา เป็นไปด้วยความร่มเย็นเป็นสุข เพราะธรรมเข้าครองใจประการหนึ่ง ในการแสดงธรรมวันนี้ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก