หลวงปู่มั่น-พระไตรปิฎกตาดี
วันที่ 25 กันยายน 2541
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๑

หลวงปู่มั่น-พระไตรปิฎกตาดี

เริ่มละจากนี้ไปถึงวันกฐินจะเยอะละคน วันที่ ๒๗ ก็จะมากนะ คือนัดกัน ในทางพระก็พระเป็นหัวหน้า ๆ ออกมาจากสำนักต่าง ๆ ในป่าในเขา ออกมาจากนั้นมาช่วยกัน ส่วนมากก็สายหลวงปู่มั่นละมา มาทุกซอกทุกมุม วันนั้นวันที่ ๒๗ จะมาทุกซอกทุกมุม ในป่าในเขาออกมาหมด…พระ อยู่ที่ไหนในป่าในเขาส่วนมากเป็นสายหลวงปู่มั่นทั้งนั้น คือเป็นอาจารย์รองลำดับ

พอพูดอย่างนี้ก็ทำให้อดคิดไม่ได้เหมือนกันนะ ผู้ที่เคยอยู่เคยเห็นเคยเกี่ยวข้องกับท่านมา ได้รู้ได้เห็นท่านนี้รู้สึกหลวงตาบัวจะเป็นองค์สุดท้ายแล้วแหละ นอกนั้นก็เป็นสายติดสายต่อกันออกไป ผู้ที่อยู่กับต้นลำจริง ๆ แต่เป็นแบบทัพพีอยู่กับแกงนะ เข้าใจไหมทัพพีอยู่กับแกง ทัพพีไม่รู้รสรู้ชาติของแกงแหละ ก็คือหลวงตาบัวนี่แหละ อยู่กับท่านดูเหมือนเป็นองค์สุดท้ายแหละ คิดดูที่ไหนไม่มีแล้ว ตกลงเราเอาหัวค้ำฟ้า ยังเหลืออยู่องค์เดียว

สำหรับหลวงปู่มั่นนี้ ชื่อเสียงท่าน คุณธรรมที่เลิศเลอของท่าน จะออกตอนหลังท่านมรณภาพไปแล้ว ตอนที่เราเขียนประวัติท่าน แต่ก่อนท่านอยู่ในป่าในเขาทั้งนั้น เรียกว่าสมัยปัจจุบันนี้หลวงปู่มั่นเป็นองค์ที่หนึ่งเลยละ พูดถึงว่าทรงอริยประเพณีของพระพุทธเจ้า ของสาวกทั้งหลายมาได้ด้วยปฏิปทา ทั้งความรู้ความเห็นภายในใจ มีหลวงปู่มั่นที่เด่นมากที่สุด

แต่ท่านเด่นอยู่ในป่าในเขา ท่านไม่ค่อยออกมาเกี่ยวข้องกับประชาชนนัก พระเณรบรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่มาเป็นครูบาอาจารย์สอน เช่นอย่างหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน เหล่านี้ อยู่กับท่านในป่าทั้งนั้น บรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่มาเป็นครูเป็นอาจารย์นี้ ไปศึกษากับท่านอยู่ในป่าในเขา กระจายกันออกมา สำหรับองค์ท่านเองไม่ได้ออกมาเลย อยู่ในป่าในเขาล้วน ๆ เลย

พอพูดเรื่องอรรถเรื่องธรรมนี้ เราพูดไม่มีคำว่าอิ่มพอ พูดถึงเรื่องหลวงปู่มั่นนะ คุณธรรมคุณสมบัติทุกอย่างพร้อมหมดเลย ไม่มีอะไรตกเรี่ยเสียหาย เรื่องหลักธรรมหลักวินัยท่านเก็บหอมรอมริบได้หมด เพราะเราก็เรียนแล้วเราถึงไปนี่ ท่านแสดงออกมาแง่ใดมุมใดอยู่ในคัมภีร์ใดก็รู้ทันที ๆ เพราะเราก็เรียนไปแล้วนี่ เป็นแต่เพียงว่าได้แต่ตัวหนังสือ ไม่ได้ธรรมเหมือนท่านนั่นซิ ท่านได้ทั้งธรรมได้ทั้งเรื่องราวต่าง ๆ ท่านได้หมด ท่านทรงไว้หมดเลย สมบูรณ์เต็มที่ในสมัยปัจจุบันนี้ หลวงปู่มั่นเป็นองค์ที่เด่นที่สุด ที่เราไปรู้ไปเห็นกับท่าน ก็อยู่กับท่านมา ๘ ปี นี่วันนี้ก็เปิดเรื่อง ๘ ปีอีกทีหนึ่ง อยู่กับหลวงปู่มั่นนะ

ดูทุกแง่ทุกมุม เราดูจริง ๆ เพราะเราตั้งใจไปศึกษากับท่านจริง ๆ ท่านจะพูดทีเล่นทีจริงในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ เท่ากับพ่อแม่กับลูก บางทีท่านก็มีพูดทีเล่นทีจริงเหมือนกันกับเรา กับพ่อกับลูกนี้แหละ แต่เราไม่ได้ว่าทีเล่นทีจริง มันเอาเป็นจริงทั้งนั้นเลย ท่านจะพูดแง่ไหนท่านมีคติธรรมออกมาทุกแง่ ถึงแม้จะเป็นข้อตลกอย่างนี้ท่านก็มีคติธรรมออกมา มีธรรมแทรกออกมา ไม่ได้เป็นแบบโลก ถึงกิริยาท่านจะใช้แบบโลกเป็นบางครั้งบางคราว มีอะไรกับลูกศิษย์ลูกหาซึ่งเป็นเหมือนลูกของท่าน ลูกในครัวเรือน ท่านจะพูดหนักเบาตลกบ้างอะไรก็มี แต่มีแต่เรื่องธรรมแทรกออกมา ๆ เราคอยจับตลอด

อู๊ย นี่ก็แปลกเหมือนกัน จิตนี้มันเหมือนเทปจริง ๆ ท่านพูดแง่ใดมุมใดมันจับได้หมดเลย เพราะตั้งใจจริง ๆ อย่างท่านพูดกิริยาท่าทางทุกอย่างพร้อมหมด พูดถึงเรื่องธรรมภายในใจเวลาท่านเทศน์นี้ ต้องขออภัยพูดกันตามความจริง มาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟังว่า ผลของการฟังธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงในครั้งพุทธกาลว่า เวลาแสดงธรรมจบลง บรรดาประชาชน เทวบุตรเทวดาสำเร็จมรรคผลนิพพานเป็นจำนวนมาก ๆ

แต่ก่อนเราก็เห็นในตำรา แต่ยังไม่ได้คิดอะไรมากนัก เวลาไปปฏิบัติเฉพาะอย่างยิ่งเข้าไปอยู่กับหลวงปู่มั่นนี่ซิ เวลาท่านเทศน์เหมือนกับ..เราไม่เห็นก็ตามแต่เรื่องราวทั้งหมด เนื้อธรรมนี้ออกมาจากตำรา ๆ ทั้งนั้น เป็นอันเดียวกัน ๆ ท่านถอดออกมาจากนี้ ออกนี้เลย ๆ ไม่ได้ออกทางไหนนะ จึงเรียกว่าคัมภีร์ใน เรียกว่าพระไตรปิฎกใน

ปีนี้ได้เปิดแล้วพระไตรปิฎกใน พระไตรปิฎกนอก เป็นยังไง ไม่มีใครพูด แต่หลวงตาบัวคนเดียวนี้พูด พูดอย่างอาจหาญเสียด้วย ไม่ได้พูดแบบลูบ ๆ คลำ ๆ มาพูด ถอดออกมาพูดจริง ๆ นี่ พระไตรปิฎกในคืออะไร พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านตรัสรู้ ท่านตรัสรู้พระไตรปิฎกในซึ่งเป็นเนื้อแท้ธรรมแท้ท่านออกมา เรียกพระไตรปิฎกใน พระไตรปิฎกนอกเราไปจดจารึกที่เป็นคำบอกคำสอนของท่านออกมานี้ก็เป็นคัมภีร์ เช่นอย่างพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก อย่างนี้ ออกมาจากความจริงคือพระไตรปิฎกในของท่านนั่นเอง เรียกว่าพระไตรปิฎกนอก พระไตรปิฎกใน

พระไตรปิฎกในคือผู้สิ้นกิเลสแล้วเป็นผู้ทรงธรรมล้วน ๆ ไว้ บริสุทธิ์เต็มที่ พระไตรปิฎกนอกเป็นคนที่มีกิเลสไปจดจารึกออกมา จึงเรียกพระไตรปิฎกนอก เอ้า แยกเข้าไปอีก พระไตรปิฎกตาบอด พระไตรปิฎกตาดี นั่นเอาอีกนะ พระไตรปิฎกตาดี คือผู้ท่านสว่างกระจ่างแจ้ง ทรงธรรมที่บริสุทธิ์พุทโธเต็มดวงเต็มที่ไว้ คือพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่าน นี่พระไตรปิฎกตาดี สว่างกระจ่างแจ้งไปหมด ออกจากหัวใจของท่านจ้าไปหมดครอบโลกธาตุ นี่เรียกพระไตรปิฎกตาดี

พระไตรปิฎกตาบอด เราเรียนเท่าไรก็เรียน ฟาดจนจบพระไตรปิฎกก็ได้แต่ชื่อได้แต่นาม ได้แต่ความจำ ได้แต่ตำรับตำรา ไม่ได้ความจริงอย่างท่านมา ก็เรียกว่าผู้ไปจดจารึกหรือเป็นคนประเภทนั้นก็ตาม แล้วผู้ที่ไปเรียนตามนั้นก็เป็นคนตาบอด คำว่าบอดนี้คือหมายความว่ากิเลสครอบงำหัวใจ ใจยังมืดมิดปิดตาอยู่ แม้จะเรียนอรรถเรียนธรรมก็มีแต่ชื่อแต่นามของอรรถของธรรม แต่ใจยังบอดอยู่ เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่าพระไตรปิฎกตาบอด พระไตรปิฎกตาดี เข้าใจไหม

พระไตรปิฎกตาดีนั้น คือพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านทรงไว้ ท่านทรงไว้ด้วยเป็นธรรมแท้ นั่นละธรรมแท้ เราจึงยกข้อเปรียบเทียบให้พี่น้องทั้งหลายชาวพุทธเราฟัง ยกเป็นข้อเปรียบเทียบออกมาว่า แม่น้ำสายต่าง ๆ ไม่ว่าสายใดก็ตามไหลลงมาแล้วไปรวมลงในมหาสมุทรแห่งเดียวกัน แม่น้ำสายต่าง ๆ เราจะเรียกได้ว่าแม่น้ำสายนั้น ๆ เช่น แม่น้ำบางปะกง แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน่าน แม่น้ำอะไรก็ตาม นี่เรียกว่าสายทางของน้ำไหลลง ๆ พอเข้าถึงมหาสมุทรแล้ว เป็นน้ำมหาสมุทรอันเดียวกันหมดแยกกันไม่ออกเลย ไม่มีว่าสายนั้นสายนี้ เมื่อเข้าถึงมหาสมุทรทะเลหลวงแล้ว เรียกว่าแม่น้ำมหาสมุทรอย่างเดียวกันหมด

อันนี้ฉันใดก็เหมือนกัน ธรรมแท้คือท่านผู้บริสุทธิ์พุทโธ และพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ที่ตรัสรู้มาแล้วนี้เป็นมหาวิมุตติมหานิพพาน เทียบกันได้กับมหาสมุทรทะเลหลวง นี่ละมหาวิมุตติมหานิพพาน นี่ละคือธรรมแท้เป็นมหาวิมุตติมหานิพพาน ที่เป็นธรรมแท้ครอบโลกธาตุอยู่เวลานี้ คือมหาวิมุตติมหานิพพาน พระพุทธเจ้าองค์ใด ๆ ก็ตาม พระสาวกองค์ใดก็ตาม ซึ่งเป็นเหมือนกับแม่น้ำหลายสายไหลเข้ามา ต่างองค์ต่างบำเพ็ญ

อย่างพวกเราทั้งหลายนี้ต่างคนต่างบำเพ็ญเวลานี้ เท่ากับแม่น้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลเข้ามา จะมาสู่จุดมหาวิมุตติมหานิพพานนั่นเอง เมื่อน้ำสายนี้ไหลมานี้เรียกว่าเข้ามหาวิมุตติมหานิพพาน พอสำเร็จอรหัตภูมิปึ๋งเท่านั้น เข้าถึงมหาวิมุตติมหานิพพานแล้ว เช่นเดียวกับแม่น้ำสายต่าง ๆ เข้าถึงมหาสมุทรทะเลหลวง เป็นแม่น้ำมหาสมุทรอันเดียวกัน

อันนี้ก็พอบรรลุธรรมถึงขั้นสุดยอดได้แก่อรหัตภูมิปึ๋งเท่านั้น เรียกว่าดวงใจอันนี้กับมหาวิมุตติมหานิพพานเป็นอันเดียวกันแล้ว ๆ แม่น้ำสายต่าง ๆ คือผู้บำเพ็ญในที่ต่าง ๆ อยู่ที่ไหนก็ตาม ซึ่งเปรียบเหมือนกับแม่น้ำสายต่าง ๆ นั้น เมื่อบารมีแก่กล้าก็ไหลเข้ามาใกล้เข้ามา ๆ สร้างคุณงามความดี นี่เรียกว่าแม่น้ำสายต่าง ๆ ไหลเข้ามาอย่างนี้ ๆ ไหลเข้ามา ๆ พอมากเข้าจวนเข้า ๆ ก็ถึงแม่น้ำมหาสมุทรทะเล อันนี้ก็เข้าถึงมหาวิมุตติมหานิพพาน เมื่อเต็มที่แล้วจะต้องถึงขั้นสุดยอดแห่งธรรมทั้งหลายได้เหมือนกันหมดเลย

ไม่ได้เลือกว่าเป็นผู้หญิง ผู้ชาย นักบวช ฆราวาส สำคัญอยู่ที่การสร้างบารมี ซึ่งเป็นพื้นฐานอันสำคัญที่จะยกผู้บำเพ็ญให้ถึงความหลุดพ้นได้ ทีนี้เมื่อบำเพ็ญเต็มที่ ๆ ก็เหมือนกับแม่น้ำสายต่าง ๆ ค่อยไหลเข้ามาใกล้เข้ามา ๆ บารมีแก่กล้าก็ใกล้เข้ามา ๆ พอถึงนั้นปึ๊บก็เรียกว่าเต็มภูมิแล้ว เป็นอรหัตบุคคลขึ้นมา นั่นละมหาวิมุตติมหานิพพาน เข้าถึงแล้วที่นี่ ผู้บรรลุธรรมนี่เข้าถึงมหาวิมุตติมหานิพพานแล้ว เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกันหมดเลย ทีนี้แยกกันไม่ออกว่าคนนี้รายนี้ ๆ มาจากไหน ๆ พูดไม่ออก เข้าถึงแล้ว เรียกว่าแม่น้ำสายต่าง ๆ ไม่มีความหมายละ เข้าในมหาสมุทรทะเลหลวงอันเดียวกัน

ที่นี่ผู้บำเพ็ญคุณงามความดีประเภทต่าง ๆ นี้ ก็เป็นแม่น้ำลำคลอง แต่ละราย ๆ ไหลเข้ามา ๆ แล้วเข้าสู่จุดสุดยอดแห่งความพ้นทุกข์ ว่างั้นเลย เรียกว่าความพ้นทุกข์อยู่ที่จุดนั้น อยู่ที่มหาวิมุตติมหานิพพาน เข้าถึงนั้นแล้วเป็นมหาวิมุตติมหานิพพานอันเดียวกันหมด

เพราะฉะนั้นท่านจึงแยกไว้เป็นบาลีว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาผู้บรรลุธรรมถึงขั้นอรหัตภูมิแล้ว นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวกองค์สุดท้าย เป็นเหมือนกันหมด นั่นฟังซิ แยกกันไม่ออก นั่นก็เท่ากับแม่น้ำเข้าสู่มหาสมุทรทะเลหลวงแล้วแยกกันไม่ออก ว่ามาจากที่ไหน ๆ บ้าง อันนี้ก็เมื่อเข้าถึงวิมุตตินิพพานบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว เหมือนกันหมด ไม่มีคำว่ายิ่งว่าหย่อนต่างกัน แยกกันไม่ออก ท่านบอก นั่นเข้ากันได้เลย

ทีนี้เราดูซิมหาสมุทรทะเลหลวงเวลานี้เราเห็นไหม ทั่วโลกก็เห็นกันทั้งนั้น ปฏิเสธได้ไหมว่ามหาสมุทรทะเลหลวงสูญไป มหาสมุทรทะเลสูญไหมเห็นไหม นั่นละแม่น้ำสายต่าง ๆ ไหลลงไปรวมอยู่ที่นั่นไม่ได้สูญ เป็นแม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวง จิตวิญญาณของสัตวโลกที่บำเพ็ญคุณงามความดีนี้เข้ามา ๆ เข้ามาเรื่อย ๆ เหมือนกับแม่น้ำสายต่าง ๆ เข้าถึงวิมุตติปึ๋งแล้ว เป็นมหาวิมุตติมหานิพพาน นี่ละสูญไหมนี่ก็ดี นี่ละเทียบกันได้อย่างนี้ นี่ละที่ว่าสูญไหม สูญไหมนิพพาน มหาสมุทรทะเลหลวงไม่สูญฉันใด มหาวิมุตติมหานิพพานก็เป็นฉันนั้นเหมือนกัน ไม่สูญ

จิตวิญญาณดวงนี้สำคัญมากนะ เราจึงได้เน้นหนัก การนำชาติคราวนี้ก็มีธรรมะไปแจกพี่น้องชาวไทยทั้งหลายให้รู้ทั่วกันว่า ธรรมะของจริงแท้เป็นยังไง ธรรมะของปลอมเป็นยังไง เช่นอย่างพระไตรปิฎกตาบอด พระไตรปิฎกตาดีเป็นยังไง พระไตรปิฎกใน พระไตรปิฎกนอกเป็นยังไง ถอดออกมาจากความจริงมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง อย่างอาจหาญไม่สะทกสะท้าน เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ใครเจอเข้าไปเมื่อไรก็เจอเถอะ เหมือนพระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้านี้หมด ไม่ได้เคลื่อนไหวจากกัน เหมือนเราจ่อมือลงไปในแม่น้ำมหาสมุทร ถึงกันหมดเลย กระเทือนทั่วมหาสมุทร

อันนี้จ่อเข้าไปถึงวิมุตติ หลุดพ้นปึ๋งเท่านั้น กระเทือนถึงกันหมดเลย พระพุทธเจ้าหายไปไหน พระอรหันต์หายไปไหน วิมุตตินิพพานหายไปไหน ก็ตัวของเราใจของเราเป็นเครื่องยืนยันแล้ว จะหายไปไหน เห็นชัด ๆ อยู่อย่างนั้น นี่ละขอให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายตั้งอกตั้งใจปฏิบัตินะ เราเกิดมาพบพุทธศาสนานี้เรียกว่าเลิศเลอที่สุดแล้ว วาสนาของเรานี่ ถ้าเราไม่ได้นับถือแล้วก็เหมือนกบเฝ้ากอบัวนั่นแหละ ไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่ผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติก็เอาดอกบัวมาบูชาพระอย่างนี้แหละ เอามาบูชาอย่างนี้เป็นผลเป็นประโยชน์แล้วนี่ กอบัวเหล่านี้เกิดประโยชน์แล้ว ไม่มีใครมาเฝ้าอยู่เฉย ๆ เอามาทำประโยชน์ก็ได้แล้วนี่

ธรรมพระพุทธเจ้าก็เหมือนดอกบัวที่สวยงาม จ้าครอบโลกธาตุ ต่างคนต่างประพฤติปฏิบัติตามธรรมพระพุทธเจ้า ก็เหมือนกับเอาดอกบัวมาบูชา เกิดผลเกิดประโยชน์ นี่ละเรื่องศาสนาพระพุทธเจ้านี้ใครไม่มีวาสนาไม่พบนะ เลิศเลอสุดยอดอยู่นี้หมด เป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสาร ศาสนาคู่บ้านคู่เมือง เพราะเป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลสแล้ว ไม่ได้เป็นศาสนาของคลังกิเลสที่เสกสรรปั้นยอ ตัวว่าเป็นเจ้าของศาสนานั้น เจ้าของศาสนานี้ ลัทธินั้นลัทธินี้อะไร นั้นเป็นคนมีกิเลสเสกสรรปั้นยอเจ้าของขึ้นเป็นครูเป็นอาจารย์ เป็นศาสดาของเขาต่างหาก กิเลสเต็มหัวใจย่อมมีผิดพลาดได้ด้วยกันกับคนทั่ว ๆ ไป

แต่พระพุทธเจ้าเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้ว คำว่าบกพร่องไม่มี สมบูรณ์แบบเต็มที่แล้ว เป็นครูสอนโลกด้วยใจที่บริสุทธิ์ จึงเป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสารคู่บ้านคู่เมืองตลอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์ นี่เวลานี้พุทธศาสนาของเราคือสมณโคดมของเรา ก็เท่ากับพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ เพราะสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบทุกอย่างแล้ว ชี้แนวทางให้เข้าไปจุดนั้น ๆ ตลอด พระพุทธเจ้านิพพานแล้วก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะทางเดินเพื่อเข้าสู่ความพ้นทุกข์สอนไว้แล้วโดยสมบูรณ์ ให้ก้าวตามนี้นะ นั่นความหมายว่างั้น เอ้า ให้ทำบุญอย่างนี้ ให้ทานอย่างนั้น ให้รักษาศีลอย่างนั้น ให้เจริญาภาวนาอย่างนี้ ให้ทำความดีอย่างนี้ ๆ

นี้เป็นสายทางที่จะก้าวเข้าสู่ความหลุดพ้นมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกันหมด กับพระพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนม์อยู่ นี่ละที่ว่าศาสนาวางไว้ห้าพันปี คือพาดบันไดเอาไว้ ๆ ให้เราไต่เต้าไปตาม ถ้าใครไม่ไปพระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าใครอุตส่าห์พยายามเดินตามก็เอาละ

จิตดวงนี้ไม่เคยตายไม่เคยฉิบหายแต่ไหนแต่ไรมา ถ้าพูดถึงเรื่องวัตถุต่าง ๆ ในแดนโลกธาตุนี้ อันใดมากกว่าอะไร ไม่มีอะไรที่จะมากยิ่งกว่าจิตวิญญาณของสัตวโลก เต็มท้องฟ้ามหาสมุทร ใต้ดินเหนือดินมีเต็มหมดเลย อันนี้มากที่สุด คือจิตวิญญาณของสัตวโลก เพราะมันไม่สูญนั่นเอง เต็มอยู่นี้ ครองภพครองชาติอยู่ทุกแห่งทุกหนตามเพศตามภูมิ

อย่างเราเป็นมนุษย์ก็เห็นกันชัด ๆ ที่ไม่เป็นมนุษย์เป็นสัตว์ก็เห็นกันอยู่นั้น เป็นไก่ก็เห็นอยู่ เป็นเป็ด เป็นนก เป็นปลา เป็นอะไรเราก็เห็นกันอยู่นั้น ที่ละเอียดกว่านั้นก็มีอย่างเดียวกันนี้เลย ไม่ได้ผิดกัน มีอยู่ตามสภาพของตน ๆ เป็นแต่เพียงว่าเราสามารถสัมผัสสัมพันธ์รู้เห็นได้หรือไม่ได้เท่านั้นเอง มีภพ มีละเอียด หยาบ ต่างกัน อย่างพวกเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม พวกเปรตพวกผีก็เหมือนกันกับเรานี้ มีภพมีชาติเป็นกำเนิดที่เกิดของตัวเอง ด้วยวิบากกรรมดีชั่วเหมือนกันหมด ไม่มีใครแปลกต่างกัน

เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน สัตวโลกที่เกิดขึ้นมาด้วยกันอย่าตำหนิกันด้วยชาติชั้นวรรณะสถานะสูงต่ำ อย่าไปตำหนิกัน สัตว์ทั้งหลายเกิดมาด้วยอำนาจแห่งกรรมของตนด้วยกัน สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น คือเป็นด้วยอำนาจแห่งกรรม เกิดมาด้วยบุญด้วยกรรม กมฺมํ สตฺเต วิภชติ กรรมย่อมจำแนกแจกสัตว์ให้มีความประณีตเลวทรามต่างกัน แล้วเกิดไปตามวิบากแห่งกรรมของตน ๆ เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน

เช่นเวลาเรามาอยู่นี้ เราก็มาเสวยภูมิเป็นมนุษย์ ออกจากนี้เราก็จะไปอีกภูมิไหนก็ไม่รู้นะ ถ้าภูมิความดีก็แน่ต่อสิ่งที่ดี ภูมิชั่วนั้นแน่ต่อสิ่งที่ชั่ว ไม่ผิดที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ เพราะสอนแล้วด้วยความรู้ความเห็นทุกอย่างมาสอนโลก ให้เราปฏิบัติ เราเป็นคนตาบอดต้องเชื่อคนตาดี ถ้าเชื่อแต่คนตาบอดแล้วจะชนแต่ต้นไม้ ตกหลุมตกบ่อ หาความปลอดภัยไม่ได้ ถ้าเชื่อคนตาดี เขาจูงไปไหนก็ต้องไปซิคนตาบอดตามคนตาดี นี่เราเป็นคนโง่ เป็นคนตาบอดทางใจ ให้เชื่อพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นคนตาดีทั้งภายนอกภายใน ให้ตั้งใจปฏิบัติรักษาตามพระพุทธเจ้า แล้วเราจะค่อยแคล้วคลาดปลอดภัยเป็นลำดับ

เรื่องบุญ เรื่องกรรม เรื่องบาป เรื่องนรก สวรรค์ นี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย เหมือนกับสิ่งที่เราเห็นอยู่ด้วยตาของเรานี่ นรกมีไหมก็เหมือนศาลาหลังนี้มีไหมนั่นเอง สวรรค์มีไหม ก็เทียบขึ้นไปอีกเหมือนชั้นบนชั้นล่างโดยลำดับลำดาไป เหมือนกันนั่นแหละ แล้วข้างต่ำไปอีก ใต้ดิน เหนือดิน มีไหม ๆ มีอยู่เหมือนกันหมด นี้ละที่พระพุทธเจ้าสอนไว้สอนตามหลักความจริง ที่รู้ที่เห็นแล้วนำมาสอนโลก ไม่ได้สอนแบบหลับหูหลับตาสอน

แต่พวกเรานี่ฟังแบบหลับหูหลับตาฟัง ถ้าเรื่องฟังอรรถฟังธรรม เกี่ยวข้องกับอรรถกับธรรมแล้วเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ไม่ค่อยมีความจริงอะไร เพราะกิเลสเหยียบไว้ตลอดไม่ให้ก้าวเข้าสู่ความจริงได้ ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วเอาเป็นก็เป็น ตายก็ตาย มีเท่าไรถึงไหนถึงกัน เรื่องกิเลสเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นโลกถึงจมอยู่กับกิเลส ไม่ได้หลุดพ้นไปได้ง่าย ๆ เป็นอย่างนี้เอง

นี่เราพูดถึงเรื่องหลวงปู่มั่นก็เลยเตลิดเปิดเปิงไปไหนบ้างก็ไม่รู้นะ พูดถึงเรื่องความเลิศเลอที่สุดภายในหัวใจก็ดี ภายนอกการประพฤติปฏิบัติของท่านก็ดี รู้สึกว่าที่เราผ่านครูบาอาจารย์มานี้ ไม่มีใครเลยเหมือน พร้อมทุกอย่าง ยิ่งท่านพูดถึงเรื่องเทวบุตรเทวดา โอ๋ย ฟังแล้วเราพูดจริง ๆ เราเป็นจริง ๆ น้ำตาร่วงเลยนะ ว่าพวกเทวดามาเยี่ยมท่าน มาฟังเทศน์ท่าน แต่ท่านจะพูดในเวลาเฉพาะ ท่านไม่ได้พูดสุ่มสี่สุ่มห้านะ

นั่นละเห็นไหมจอมปราชญ์ ท่านรู้หนักรู้เบา รู้ในรู้นอก รู้ควรไม่ควร เวลามีโอกาสอันดีงาม อยู่เพียงสองสามองค์คุยกัน เราก็เสาะนั้นเสาะนี้อยากรู้อยากเห็น ท่านก็ค่อยเปิดออกมา ๆ ทีนี้ค่อยสอดค่อยแทรกเข้าไป ครั้งนั้นบ้างครั้งนี้บ้าง หลายครั้งต่อหลายหนก็เข้าใจเรื่องของท่าน ท่านพูดถึงเรื่องเทวบุตรเทวดาเหมือนพูดกับพวกเรานี่นะ ท่านไม่มีอะไรสะทกสะท้าน ไม่มีอะไรผิดแปลกปกติเลย เหมือนกับเราไปเห็นสิ่งใดมาเราพูดกันธรรมดา ๆ อย่างนี้

ท่านพูดถึงเรื่องเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม ที่มาเยี่ยมท่าน ท่านบอกว่าท่านมาอยู่ที่จังหวัดสกลนครนี้ พวกเทวดามาเกี่ยวข้องน้อยมาก จะมาเป็นเวลา คือมาในวันเข้าพรรษา วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันออกพรรษา นอกนั้นเทวดาไม่ค่อยมากัน หมายถึงเทวดาชั้นสูงนะ พวกสวรรค์ พวกภูมิเทวดานี้ก็มาต่างหากเหมือนกันท่านว่าอย่างนั้น ส่วนไปอยู่เชียงใหม่ อู๋ย ต้อนรับแทบทุกคืนไม่มีเวลาว่างเลย เทวดาชั้นนั้น ๆ ที่มาเป็นชั้น ๆ มาเป็นลำดับลำดา พวกภูมิเทวดา อากาสาเทวดา

ท่านอยู่เชียงใหม่ท่านหนักไปทางหนึ่ง ไม่ได้เกี่ยวกับผู้คน แต่เกี่ยวกับเทวบุตรเทวดาตลอด ฟังซิน่ะท่านพูด พวกพญาครุฑ พญานาค อะไรนี้เกี่ยวหมดเลย มาหาท่าน ท่านพูดธรรมดานะ อยู่ทางโน้นมากพวกเทวดา มาอยู่ทางนี้ไม่ค่อยมี นั่นฟังซิน่ะ ท่านจะเห็นว่าพวกเรานี่เป็นเทวดาแทนแล้วก็ไม่รู้นะ หรือว่าเป็นเทวทัตแทนแล้วก็ไม่ทราบ มีสองอย่าง ไม่มีเทวดาก็มีเทวทัตแทน

พูดถึงเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัวของพวกเทพทั้งหลายนี้อีกละ โอ๊ย อัศจรรย์นะ ไม่ได้เหมือนกันท่านว่า พวกเทวดาเช่นดาวดึงส์นี้มา พวกเทพพวกนี้การแต่งเนื้อแต่งตัวมีลักษณะอย่างนี้ ๆ รูปร่างนี้จะหยาบไปอย่างนี้ ความละเอียดก็ละเอียด เรื่องของเทพนั้นละเอียด แต่เมื่อเทียบกับเทพทั้งหลายแล้ว จะละเอียดต่างกันเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป การแต่งเนื้อแต่งตัวทุกสิ่งทุกอย่าง จนกระทั่งท้าวมหาพรหม เหลืองอร่ามหมดเลย นั่นฟังซิท่านพูด แต่ค่อยซอกแซกซิกแซ็กค่อยถามเอานะ ถามมากกว่านั้นไม่ได้เดี๋ยวท่านขนาบเอาหลงทิศไป

ท่านพูดธรรมดาเรานี่นะ ธรรมด๊า ธรรมดา นั่นละเห็นไหมญาณหยั่งทราบ ผู้ตาดีท่านเห็นอย่างนั้น พวกตาบอดนี่ปฏิเสธวันยังค่ำว่าไม่มี เราได้เห็นแล้วเวลานี้ในตำรา เห็นประจักษ์แล้ว จนปลงธรรมสังเวช เวลานี้ลบล้างแล้วนะ พุทธศาสนานี่แหละเป็นข้าศึกต่อพระพุทธเจ้าเสียเอง พวกชาวพุทธเรานี่เป็นข้าศึกต่อพระพุทธเจ้าเสียเอง เวลานี้กำลังเริ่มลบล้างพวกเทวบุตรเทวดาว่าไม่มี ๆ ก็จะมีใครก็คือพวกเรา ๆ ท่าน ๆ นี้แหละคือเทวดา ว่างั้นนะ ไอ้พวกเรา ๆ ท่าน ๆ กำลังเป็นเทวทัตต่อสู้พระพุทธเจ้านี้เหรอเป็นเทวดา เราอยากถามว่าอย่างนั้นนะ นอกจากจะหานรกหลุมไหนให้มันอยู่นะพวกนี้เท่านั้นเอง นรกนอกนั้นแตกหมดแล้ว นรกหลุมไหนจะให้มันอยู่ได้พวกนี้ พวกนรกแตก เราอยากถามว่าอย่างนั้นละ แต่ไม่ถาม

เห็นในตำรา เห็นแล้วเดี๋ยวนี้ออกมาแล้วนะ พวกลบล้างศาสนา พวกเทวทัต สด ๆ ร้อน ๆ กำลังเริ่มละ คำสอนเหล่านี้เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าทั้งนั้น เช่น อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ ตอนเที่ยงคืนแก้ปัญหาเทวดา แนะนำสั่งสอนอบรมเทวดา ตอนสี่โมงห้าโมงเย็นนี้เทศนาว่าการสั่งสอนมนุษย์มนาทั้งหลาย มีพระมหากษัตริย์เป็นต้น พอตอนค่ำทุ่มหนึ่งสองทุ่มไปแล้ว เทศนาว่าการสั่งสอนพระ พอหกทุ่มแล้วเทศนาสั่งสอนพวกเทวบุตรเทวดา พอตีสามล่วงไปแล้วพิจารณาเล็งญาณดูสัตวโลก ใครจะมีความรู้ความฉลาด มีอุปนิสัยสามารถที่จะบรรลุธรรมได้ขนาดไหน ๆ ทรงทราบ ๆ ตามพระญาณหยั่งทราบแล้ว

นี่ละพุทธกิจ ๕ งานของพระพุทธเจ้าห้าอย่าง ตอนเช้าก็ ปุพฺพเณฺห ปิณฺฑปาตญฺจ ออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ ท่านโปรดจริง ๆ สัตว์มองเห็นพับเป็นมงคลแล้ว ได้ยินท่านรับสั่งอะไรเป็นมงคลแล้ว ๆ เอาข้าวกำมือหนึ่งก็ตามใส่ลงไปนี้เป็นมหามงคลแล้ว ๆ นั่นเรียกว่าท่านโปรดสัตว์ ท่านโปรดสัตว์อย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันสัตว์โปรดพระนะ ไปที่ไหนบิณฑบาตดูไม่ได้เวลานี้นะ เอ้า พูดให้มันตรงซิมีอยู่ในโลกนี้ ทำไมพูดไม่ได้ มันเป็นมันยังเป็นได้ เรานำมาพูดไม่ได้เหรอ เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นสัตว์โปรดพระ ไม่ใช่พระโปรดสัตว์นะเดี๋ยวนี้ มันเปลี่ยนไป

เพราะความประพฤติของพระเหลวแหลกแหวกแนว ทำให้เลวลงไปหาคุณค่าไม่ได้ในความเป็นพระ ใครก็จะดูถูกเหยียดหยามได้ ตั้งแต่เจ้าของยังดูถูกเหยียดหยามได้ ด้วยการประพฤติชั่วของเจ้าของ ทำไมเจ้าของทำได้ คนอื่นตำหนิบ้างไม่ได้เหรอ นั่นความเป็นมันมีอยู่ พื้นฐานมีอยู่ พูดตามพื้นฐานทำไมพูดไม่ได้

วันนี้เราพูดถึงเรื่องท่านอาจารย์มั่น วกไปวกมาสองหนสามหน กลับมาอีก ๆ นี่ละเรียกว่ามหามงคลแก่พี่น้องชาวพุทธของเราในสมัยปัจจุบันคือหลวงปู่มั่น ลูกศิษย์ของท่านเช่นกัน นี่เป็นสายติดสายต่อ ที่ออกจากท่านจริง ๆ ก็หมดแล้วเวลานี้ ยังเหลือแต่หลวงตาบัวทัพพีขวางหม้ออยู่เท่านั้นแหละ ไม่ได้เรื่องอะไร แล้วเอาเรื่องของท่านมาโม้ เราไม่มีอะไรโม้ เอาเรื่องของท่านมาโม้ เอาเรื่องของท่านมาโม้ไม่เป็นอะไรนะ เรื่องของคนอื่นมาโม้มีเยอะไม่เกิดประโยชน์ เอาเรื่องท่านอาจารย์มั่นมาโม้นี่ดูจะเป็นมงคลอยู่บ้างนะ เอาตรงนี้แหละนะ ไม่ได้มากเอาตรงนี้ก็เอา

ท่านพูดไว้ที่ตรงไหน ๆ ผิดที่ตรงไหน พิลึกนะ เดี๋ยวนี้จะหมดละ ยังเหลือแต่สายของท่านที่จะออกมาในครั้งหนึ่ง ๆ ออกมาจากป่าจากเขา เป็นครูเป็นอาจารย์เขาอยู่ตามที่ต่าง ๆ แล้วก็มารวมกัน รวมนี้ก็แสดงน้ำใจของผู้มีธรรม ผู้มีธรรมย่อมมีจิตใจกว้างขวาง ย่อมมีจิตใจเมตตา มีจิตใจอันสะอาด แสดงออกมาด้วยความเป็นมงคลแก่โลกแก่สงสาร ดังพระพุทธเจ้าท่านเสด็จไปไหนเป็นมงคลแก่โลก พระสาวกไปไหนเป็นมงคลแก่โลก ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺส เป็นเนื้อนาบุญอันชุ่มเย็นของโลก นั่นท่านไปอย่างนั้น

ทีนี้ถ้าหากผู้สืบต่อสายธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว จะมีลักษณะเช่นเดียวกัน ไม่มากก็น้อยต้องแสดงออกซึ่งน้ำใจอันดีงาม นี่ละเรียกว่าออกมาจากใจที่ขาวสะอาด ออกมาจากใจที่มีเมตตา เฉลี่ยเผื่อแผ่ต่อกัน นี่ชาติไทยของเราเวลานี้กำลังจนตรอกจนมุมทั้งประเทศ แล้วพระสงฆ์เหล่านี้ที่อยู่ในเมืองไทยเรานี้เป็นลูกของใครบ้าง เอาซิไล่เข้าไป พระสงฆ์ที่มาเป็นพระสงฆ์ไทยอยู่เวลานี้เป็นลูกของใคร ลูกมีพ่อมีแม่นะ พ่อแม่ของพระสงฆ์เหล่านี้อยู่ตามป่าตามเขา อยู่ตามที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย อยู่ที่ไหนมีหมดพ่อแม่ของพระสงฆ์ในสมัยปัจจุบันนี้

เวลานี้กำลังตกทุกข์ได้ยากลำบากทั่วประเทศไทย เรียกว่าพ่อแม่ของสงฆ์ไทยเรานี่ กำลังได้รับความตกทุกข์ลำบาก แล้วทำไมลูกสงฆ์คือลูกมีพ่อมีแม่ ลูกพระสงฆ์ไทยซึ่งมีพ่อมีแม่นั้น ทำไมจึงจะใจดำน้ำขุ่นช่วยพ่อช่วยแม่ไม่ได้ พ่อแม่กำลังตกทุกข์ได้ยากลำบากเข็ญใจ นี่ละพระสงฆ์ออกมาช่วยอย่างนี้เรียกว่าทำกิจสงฆ์โดยสมบูรณ์ นี่ละงานของสงฆ์เป็นงานอย่างนี้ สงฆ์ต้องช่วยชาติซิ ช่วยโลกช่วยสงสารช่วยสัตว์ทั้งหลาย

พระพุทธเจ้าท่านว่า มหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ พระพุทธเจ้าทรงพระเมตตามหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ แล้วทำประโยชน์แก่สัตวโลกนี้ไม่มีประมาณ นั่นแหละแปลออกมา ทำประโยชน์ให้สัตวโลกไม่มีประมาณเลย ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า

งานของเราคราวนี้คนจะมามากนะ เพราะงานนี้เป็นงานของชาติเราโดยตรงนั่นแหละ เพียงแต่ว่ากฐิน ๆ มีทั่ว ๆ ไป แต่กฐินที่จะเป็นขึ้นในวัดป่าบ้านตาดนี้ เป็นกฐินในนามของชาติ ใคร ๆ ก็จะมาทุกแห่งทุกหน เพราะทำเพื่อชาติ ผลรายได้ทุกชิ้นทุกอันเข้าชาติของเราทั้งนั้น เราจึงต้องได้ขอความเรียกร้องจากบรรดาประชาชนทั้งหลาย ที่เป็นชาติไทยโดยสมบูรณ์ด้วยกันแล้ว ให้ต่างคนต่างขวนขวายช่วยชาติของตน ไม่มีใครจะรักชาติรับผิดชอบชาติยิ่งกว่าชาติไทยของเรารับผิดชอบตัวเอง ให้ถือเป็นข้อหนักแน่นทุกคน ๆ ก็แล้วกัน

ชาติของเราจะอยู่ได้ด้วยความเสียสละ ด้วยความรักชาติของเรา ด้วยความเสียสละ ด้วยความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ไม่ถือสีถือสากันง่าย ๆ นี่เรียกว่าคนมีธรรม ชาวพุทธเราให้อภัยกันเสมอ อย่าไปถือสูงถือต่ำจนเกินเหตุเกินผล จนเกิดความกระทบกระเทือน ไม่ถูก ต้องมีความสมานสามัคคี มีความอะลุ้มอล่วยต่อกัน ให้อภัยกัน

กองผ้าป่านี้ขอเตือนพี่น้องทั้งหลายไว้ว่า เป็นความเด็ดขาดจริง ๆ นะ คำเด็ดขาดนี้เด็ดขาดเพื่อชาติของเรา ชาติของเราเป็นชาติไทยที่สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ขาดบาทขาดตาเต็ง แล้วเราตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์แห่งกองผ้าป่าขึ้นคราวนี้ เรียกว่า กองกำหนดความสมบูรณ์แห่งชาติไทยของเรา คือต้อง ๘๔,๐๐๐ กองนี้ กองละ ๑๐๐ ดอลลาร์ ต้องให้สมบูรณ์แบบขาดสตางค์หนึ่งไม่ได้ เมืองไทยเราจะขาดบาทขาดตาเต็งกันทั้งชาติใช้ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นจึงเอาตรงนี้ให้เต็มเหนี่ยว ให้เต็ม ๘๔,๐๐๐ กองนี้จะให้สมบูรณ์แบบ เพราะเราตั้งขึ้นเป็นปฐมฤกษ์ต่อชาติไทยของเรา เอาให้เต็มเหนี่ยวนะ

ต่อจากนั้นไปจะขาดตกบกพร่องบ้างก็เป็นธรรมดา แต่อันนี้เอาให้หนัก เพราะเป็นปฐมฤกษ์แห่งชาติไทยของเรา ให้ได้ครบ ๘๔,๐๐๐ กอง กองหนึ่งก็ ๑๐๐ ดอลลาร์ ๆ คนตั้ง ๖๒ ล้านต่อ ๘๔,๐๐๐ กองของดอลลาร์ กองละหนึ่งร้อยเท่านี้รับไม่ได้แล้ว เมืองไทยเรานี้จมตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเวทีนะ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องให้ชนะตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเวที หลวงตาบัวเป็นผู้นำหน้า ฟาดมันเลยตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเวที เอาเซ็นใบชนะมาเลยเราถึงจะขึ้นเวที เราจะบอกอย่างนั้นนะ ต้องเอาใบชนะมาก่อนเราถึงจะขึ้นเวที คือยังไงจะต้องชนะแน่ ๆ ความหมายว่าอย่างนั้น

เอาละให้พร


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก