ครูบาอาจารย์อย่างนี้หาได้ที่ไหน
วันที่ 6 เมษายน 2544
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๔

ครูบาอาจารย์อย่างนี้หาได้ที่ไหน

ก่อนจังหัน

ท่านไม่ฉันท่านก็ไม่ออกมา ท่านภาวนาของท่านเห็นไหมล่ะพระ พระวัดนี้ไม่ฉันจังหันวันหนึ่ง ๆ ขาดไปมากนะวันหนึ่ง เท่าที่เห็นนี่เฉพาะองค์ที่มาฉันท่านก็ออกมานี่ องค์ไหนไม่ฉันท่านก็เร่งภาวนาของท่าน นั่นละท่านผู้ต้องการคุณงามความดีเข้าสู่ใจตัวเองเป็นความสงบสุขภายในใจ ต้องอาศัยธรรมเท่านั้น อย่างอื่นไม่ได้นะ ธรรมเท่านั้นที่จะทำโลกให้มีความสงบร่มเย็น ฟังเสียงกันรู้เรื่องคือธรรม ถ้าพวกเปรตพวกผี กิเลสไปเข้าตรงไหนไม่รู้เรื่องทั้งนั้น ไม่ยอมฟังเสียงอะไรเลย ตัวมุทะลุสุดยอดคือกิเลส ไม่ฟังเสียงอะไรนะ เพราะฉะนั้นโลกถึงได้รุ่มร้อนจากกิเลสขยี้ขยำ เพราะเราฟังตามมันซิ ถ้าฟังตามธรรมแล้วมันจะเป็นไฟทั้งกองก็เถอะ ดับวูบลงเลยด้วยอำนาจแห่งธรรม

นี่เห็นไหมพระท่านไม่ฉันจังหันท่านทำอะไร ท่านเร่งภาวนาของท่าน ไม่ฉันจังหันหลายวันเท่าไรความเพียรภายในใจยิ่งเด็ด ๆ อย่างนั้นนะ เวลามาฉันจังหันนี้ก็มาฉันเพียงยังอัตภาพให้เป็นไป พอพยุงร่างกายสังขาร แล้วก็เพื่อหนุนความเพียรให้ดี ถ้าฉันมากกิเลสมันก็แทรกเข้ามา ถ้าฉันได้มากความขี้เกียจก็มาก การนอนก็มาก ทุกอย่างมาก ขึ้นชื่อว่ากิเลสมากขึ้นพอ ๆ กัน เพราะฉะนั้นจึงให้มันเพียงพอเป็นไปได้ที่จะก้าวเดินของธรรมเท่านั้น นี่ละผู้ท่านหาความดีท่านหาอย่างนั้น

พระพุทธเจ้าสลบ ๓ หน ทุกข์มากไหมพี่น้องทั้งหลายฟังซิ ได้ธรรมมาสอนโลก พระกรรมฐานส่วนมากรู้สึกจะถูกก็คือการผ่อนอาหารการอดอาหาร การภาวนาดี ไปที่ไหน ๆ มักจะเห็นอย่างนั้น เท่าที่ผ่านมาคือสายหลวงปู่มั่น ปฏิปทาของท่านมักจะอดอยากขาดแคลนมาก เฉพาะอย่างยิ่งการอดอาหารมีอยู่ทั่วไป องค์ไหนมาพูดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องผลของการอดอาหารน่าฟัง ๆ ท่านไม่ได้อดเฉย ๆ นะ อดอาหารเพื่อตรัสรู้ธรรมไม่มี พระพุทธเจ้าอดถึง ๔๙ วันเพื่อตรัสรู้ธรรมด้วยการอดอาหารอย่างเดียว จึงไม่เกิดผลประโยชน์อะไรเลย พอมาเสวยพระกระยาหารในเช้าวันนั้น พอตกกลางคืนมาพระสรีระทุกสัดทุกส่วนเบาหวิว ๆ พอได้อาหารเป็นเครื่องหนุนการภาวนาก้าวเดิน ตรัสรู้ในคืนวันนั้น นับว่าเป็นเครื่องหนุนได้เป็นอย่างดีอย่างลึกลับ

แต่ท่านไม่ได้นำออกมาแสดง เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องนิสัยใจคอของแต่ละคนที่จะฝึกอบรมตนเอง จะฝึกอบรมด้วยวิธีการใด เช่นอย่างอดอาหาร พระพุทธเจ้าก็ไม่มาออกประกาศอย่างโจ่งแจ้งนะ แต่ให้เป็นผู้พิจารณาเองก็แล้วกันสำหรับผู้ปฏิบัติ เรื่องฉันสบายนอนสบายอยู่สบายกินสบาย พวกนี้พวกหั่นหอมกระเทียมไม่ทัน คลุกเคล้ากันกับเนื้อหมูที่อยู่บนเขียงล่ะซิ กินมาก ๆ ขึ้นบนเขียงคือหมอนไม่ยอมลง หั่นหอมกระเทียมเสร็จเรียบร้อยไปตีขามัน มันยังบอกอย่ายุ่ง นอนเพลิน อย่ายุ่งมันยังว่าอีกนะ เป็นอย่างนั้นนะ เอาละวันนี้พูดย่อ ๆ เพียงเท่านี้ก่อนแล้วจะให้พร…

หลังจังหัน

เราอยากพูดว่าเราอัศจรรย์ภาคกลางนี้ อู่ข้าวอู่น้ำเลยนะ น้ำสมบูรณ์ ข้าวมองไปทางไหนก็ได้ มองไปทางข้าวที่กำลังเกี่ยวก็ได้ กำลังสดเขียวขึ้นก็มี น้ำเต็มไปหมดเลย ภาคกลางนี้เป็นภาคหัวใจของชาติไทยเราจริง ๆ เราไปพิจารณาจริง ๆ นะ ดูจริง ๆ ภาคกลางนี้เป็นภาคอู่ข้าวอู่น้ำ เป็นภาคหัวใจของชาติไทยเราจริง ๆ เพราะฉะนั้นภาคต่าง ๆ เฉพาะอย่างยิ่งภาคอีสานไปตายกองกันอยู่โน้น โห มันตายที่ไหนมันก็กองกันซิ พอทำนาเสร็จแล้วไม่มีน้ำล่ะซี ทางโน้นเขามีน้ำตลอด ทางนี้มีน้ำทำนาได้หนเดียว พอทำนาเสร็จแล้วก็เผ่นลงไปโน้น อาศัยกินไปทางภาคกลาง

ภาคอีสานนี่ภาคกลางเลี้ยงดูตลอดมา ภาคอีสานทั้งหมดเลยพอหมดงานทำทางนี้ก็วิ่งลงไปทางโน้น ๆ พอมีงานทางนี้ก็ขึ้นมา เฉพาะการทำไร่ทำนาลำบากมากทางนี้นะ น่าสงสาร คือไม่มีทางน้ำเดินผ่านมาพอจะได้ทำบ้าง ตรงไหนที่มีน้ำนี้ โอ๋ย ข้าวเขียวชอุ่ม สิ่งเพาะปลูกต่าง ๆ นี้เต็มไปหมด อย่างผ่านไปทางกาฬสินธุ์เขามีทางน้ำลำปาวผ่านไปตรงนั้น เขาทำนาปลูกสิ่งต่าง ๆ เป็นแถวไปเลยนะ เขียวชอุ่มตลอดสายน้ำที่ไป นั่นน้ำจึงสำคัญมาก เพราะฉะนั้นไม่มีที่ไหนแห้งผาก ๆ พอเราก้าวขึ้นมาทางโคราชมองดูนี้ โอ้ เป็นเมืองอัตคัดขัดสนเมืองทุคตะเข็ญใจคือเมืองภาคอีสาน กันดารมากนะ พออาศัยข้าวเท่านั้น แต่ก็ได้ทำนาปีละหน ๆ

สำหรับคนไม่ขี้เกียจแหละ ขยันด้วยกัน เพราะความจำเป็นบังคับให้ขยัน ทีนี้ไม่มีอะไรจะทำมันก็ต้องวิ่งลงไปทางภาคกลาง ภาคอีสานไปกองทางภาคกลาง ลงไปภาคต่าง ๆ นั่นแหละแต่ภาคกลางเป็นจุดสำคัญ ภาคเหล่านั้นพอเป็นพอไปทุกภาคนะ เลี้ยงตัวพอได้ ๆ สำหรับภาคกลางนี้เป็นภาคพ่อภาคแม่ของคนไทยทั้งชาติ อู่ข้าวอู่น้ำจริง ๆ ไปที่ไหนมีแต่น้ำแต่ข้าวนะ จะดูข้าวแบบไหนน่ะ กำลังเป็นกล้าเขียวชอุ่มก็มี กำลังเกี่ยวอยู่ก็มี ขนไปเข้ายุ้งเข้าฉางแล้วก็มี ไปหาที่ไหนล่ะ น้ำไม่อดไม่อยากเลย ไปทางเพชรบุรีก็เหมือนกัน ไปพิษณุโลก สุโขทัย ก็แบบเดียวกัน ๆ พื้นที่เสมอเลย

เราจึงว่า อ๋อ นี่สมเหตุสมผล บรรพบุรุษเราให้พามาตั้งบ้านตั้งเรือนอยู่ทางภาคกลาง ตั้งกรุงเทพเป็นจุดกลางนี้เหมาะสมมาก เราพิจารณานะ เป็นทางไปมาหาสู่ของคนทั้งประเทศได้เป็นอย่างดี แล้วสุดท้ายก็วิ่งเข้าไปภาคกลาง ภาคกลางเป็นภาคสมบูรณ์ทุกสิ่งทุกอย่าง เราดูไปหมด ทั่วเมืองไทยเราไปดูทุกภาค ๆ ภาคใต้ก็ดีไปทางหนึ่ง ๆ แต่ว่าจะให้สมบูรณ์จริง ๆ ก็คือภาคกลางเท่านั้น สมบูรณ์กว่าทุกภาคเท่าที่เราผ่านมา ทุกสิ่งทุกอย่างพอเป็นไปไม่อดอยากขาดแคลน แล้วยังเฉลี่ยเผื่อแผ่ไปในภาคต่าง ๆ อีกนะ

อย่างที่ว่าทางชัยนาท หลวงตาก็ไปดูหมด มีแต่น้ำเต็มไปหมด ไปอุทัยฯ ไปที่ไหนเรื่องน้ำนี่ยกให้ภาคกลางเลย โห เป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ สมกับเป็นภาคพ่อภาคแม่ของภาคทั้งหลายจริง ๆ คือดูอะไรไม่บกพร่องนี่นะ ดูทุกอย่างไม่บกพร่อง เรื่องสำคัญจริง ๆ ก็คือข้าว อะไรจะอดอยากขาดแคลน ขอให้มีข้าวอยู่ในหม้อเถิดคนเรา ไม่อดตายนะ ทีนี้ภาคกลางอู่ข้าวทั้งนั้นอดอยากที่ไหน แล้วมีทุกฤดู ทำนาได้ทุกฤดู ดินดีเสียด้วยนะ ดินก็สมประกอบกัน ทางภาคอีสานดินไม่ดีด้วย น้ำก็ไม่ดี เป็นระยะ ๆ มีบ้างไม่มากนะ ทางภาคกลางดีตลอด เราไปดูแล้วดูจริง ๆ คือดูด้วยความเป็นธรรม

ไม่มีคำว่าเอียงเรื่องธรรมแล้วนะ ตรงไหนควรติ-ติ ตรงไหนควรชม-ชม ติเพื่อจะให้เสริมขึ้น ชมก็เพื่อให้หนุนเข้าอีก ติเพื่อแก้เพื่อไข จึงว่าเท่าที่ผ่านมานี้ไม่มีภาคไหนที่จะเป็นภาคที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในเมืองไทยเรายิ่งกว่าภาคกลาง ภาคกลางมีสมบูรณ์พูนผล โรงงงโรงงานที่จะทำก็ไม่อด ข้าวน้ำโภชนาหารไม่อด ๆ เพราะฉะนั้นภาคต่าง ๆ จึงไหลเข้าไปอาศัย อย่างภาคอีสานนี้ โอ๊ย ไปอยู่โน่นละ หัวใจมันอยู่โน่น เอาพุงไปไว้ที่โน่นให้ทางภาคกลางเลี้ยงช่วย ไม่งั้นตายหมดภาคอีสานนี่ อ้าว ไม่มีที่ทำกินว่าไง นาทำเพียงหนเดียว แผ่นดินเตียนโล่งไปอย่างนั้นไม่มีอะไรจะทำ น้ำไม่มี โห น้ำนี่สำคัญมากนะ ถ้าน้ำมีที่ไหนชุ่มเย็นไปนะ

เราได้เทียบดู อย่างภาคไหนที่มีน้ำมาก ภาคนั้นดีทุกอย่าง ภาคไหนแห้งแล้งเช่นภาคอีสานแห้งแล้งจริง ๆ อู๊ย อดอยากขาดแคลนมาก เพราะสิ่งอุดหนุนสิ่งประกอบไม่มี มีแต่กำลังวังชาทำไม่ได้ เราไปหมดแหละถึงอุทัยธานี สมบูรณ์ไปด้วยกันหมด ไปทางโน้นก็เพชรบุรี เป็นแบบเดียวกันหมดน้ำท่าไม่อดนะ ทางไหนเราไปเรากว้างขวางมากนะเที่ยวดูตามเหตุการณ์ หรือว่าไปด้วยกิจธุระของเรานั่นแหละ มันหากจำเป็นได้ดูนั้นดูนี้ไป อันไหนที่ควรจะได้รับประโยชน์บ้างก็มาแนะมาบอกทางนี้ให้เอาเป็นตัวอย่าง ให้คิดให้อ่านเอาเป็นตัวอย่าง

ดูว่าเขาเขียนในประวัติ พระเอาไปเขียนในประวัติเราละมัง คือประวัติเราจริง ๆ จากเราไม่ได้นะ เราห้าม ตีเลยอย่ามายุ่งนะ เราไม่ได้เอาประวัติตัวเอง เราจะดูโลกช่วยโลก เราทำอยู่นี้เป็นเรื่องประวัติทั้งนั้นดูเอา ก็ว่าอย่างนี้ละ เขียนอย่างโน้นอย่างนี้ตั้งแต่เป็นเด็กไปขโมยอ้อยเขามา จากนั้นก็ไปคางคก เขาทำส้มตำ อย่างนั้นละมันเป็นตั้งแต่เป็นเด็ก พวกน้อง ๆ เขาอยู่ด้วยกัน พ่อแม่ไปทำงาน น้อง ๆ ก็อยู่นั่นละเราเป็นหัวหน้า กลางวันก็ทำส้มตำ เขามาขอกินกับเรา เออ กูจะให้กินกูตำเพื่อสูแหละ เราตำพอเสร็จแล้วเอาไปสองห่อนะ พอตำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ห่อหนึ่งเป็นส้มตำ ห่อหนึ่งเป็นแคงคก ห่อเท่ากันนั่นแหละ

เขาก็พอเห็นเราขึ้นไปอยู่บนบ้าน เราอยู่บ้านตาอยู่กับตา พวกน้อง ๆ เขาอยู่กับพ่อกับแม่ บ้านติดกันอยู่นี้ พ่อแม่หนีหมด จากนั้นแล้วพอเห็นเราเอาอันนั้นขึ้นไป เขาก็รีบไปหาสำรับอะไรมาวางปุ๊บปั๊บออกมา เราไม่พูดหน้าหลังแหละมันจะอดหัวเราะไม่ได้ ปุ๊บปั๊บเราก็ลงมา เขามาวาง ห่อนั้นก็วางสองห่อ ลงไม่ทันถึงพื้นดินเลยฟังเสียงแก้กก๊าก ๆ พอไปเปิดนั้นแคงคกมันกระโดดออก ทีนี้มันไปถูกห่อคางคกก่อนยังไม่ถูกส้มตำ โอ๋ย ฟังเสียงมันด่า มันหยุดหรือยังพวกบ้านี่น่ะ บักห่ากินหัวมึง ๆ เราก็เปิดเลย แล้วร้องห่มร้องไห้ด้วยนะไม่ใช่ธรรมดา มันกลัว พอเปิดออกนี้ก็มันโดดออก สำรับแตกฮือเลย ร้องเสียงลั่น ไม่ทราบได้กินส้มตำหรือไม่ได้กินไม่รู้ เราได้แต่เรื่องขบขันมาจึงได้มาเล่านี่ละเรื่องราว มันเป็นจริง ๆ เวลาเป็นเด็กมันเป็นอย่างนั้นนะ ใครจะไปคิดไปคาดว่าห่อสองห่อจะมีคางคกอยู่นั้น เปิดมันไปเปิดห่อแคงคกก่อนล่ะซีมันไม่เปิดห่อส้มตำ พอเปิดเสียงแก้กก๊ากเลยเสียงลั่น ร้องห่มร้องไห้อีก บักห่ากินหัวมึง ๆ เราก็เปิดเลย เลยบ่ลืม นี่มันเป็น ประวัติ พระคงเอาไปเขียนเราก็เล่าเฉย ๆ แหละ

ที่จะมาเขียนประวัติเราให้เราเล่าให้ฟัง ไม่มีเราไม่เอา เราไม่ต้องการ ที่เราเล่าในเวลานั้นเวลานี้แล้วก็เก็บมาบวกกันเท่านั้นเอง เพราะอยู่ด้วยกันมาเท่าไรปีต้องเล่านั้นเล่านี้ แล้วก็จับมาปะติดปะต่อบ้างได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ไปอย่างนั้น ส่วนที่จะให้เราเล่าให้ฟังจริง ๆ เรื่องราวของเราเราไม่เล่า นิสัยเรามันไม่ให้ว่างั้นเถอะ ไม่เอา สำหรับพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านก็ไม่เคยพูด มีแต่ว่าเขียนเท่านั้นละ ตอนท่านเริ่มป่วย ตอนนั้นเราก็กำลังชุลมุนเต็มเหนี่ยวเลย ไม่ได้หลับได้นอนทั้งวันทั้งคืน บางวันขึ้นหาท่านถึงสองหนก็มี ท่านไม่เคยขัดกับเรานะไปทีไร ๆ สำหรับเราไม่มีละบัญชีนะ ขึ้นหาท่านเมื่อไรได้หมดเลย สำหรับพระเณรก็ต้องได้เข้มงวดกวดขันเวล่ำเวลาจะเข้าไปหาท่าน กลัวจะไปรบกวนท่าน สำหรับท่านเองก็มีนิสัยอย่างนั้นไม่ยุ่งกับใครเลย ปกติเป็นอย่างนั้น ท่านจะทำตามอิริยาบถของท่านอัธยาศัยของท่าน สะดวกสบาย

ปกติพอฉันเสร็จแล้ว ท่านก็ไปหาเดินยืดเส้นของท่านในป่า เดินจงกรมบ้าง จากนั้นท่านก็มาพัก พอตอนบ่ายท่านก็ออกไปเดินจงกรม นี่เป็นปกติของท่านไม่มีใครไปยุ่งได้นะ จึงว่าหาไม่ได้เราพูดจริง ๆ สำหรับเราเอง เราไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามครูบาอาจารย์องค์ใด เท่าที่เราผ่านมานี้ไม่มีองค์ใดเสมอเลย ไม่มี พูดถึงเรื่องความละเอียดรอบคอบนี้แหม ว่างั้นเลยนะ ภายนอกภายในเสมอกันหมดเลยหาที่ต้องติไม่ได้ เราจึงเทิดทูนสุดยอด เรื่องของท่านที่เป็นประวัติขึ้นมาก็ท่านเริ่มป่วยแล้วนะ ท่านพูดมีลักษณะเอะใจ พอหมู่เพื่อนขึ้นไปนั่งแล้ว ตอนทุ่มหนึ่ง ส่วนมากมักจะไปหาท่านตอนมืด พอมืดแล้วก็เริ่ม ถ้าท่านให้โอกาสแล้วก็ขึ้น ถ้าเห็นไฟจุด

พอเห็นท่านขึ้นพระจะปุ๊บปั๊บขึ้นไปละ มีองค์หนึ่งคอยอยู่ ขึ้นไปถ้าท่านไม่ให้จุดไฟท่านจะเข้าห้อง ท่านไม่ค่อยยุ่งกับใครนะ ถ้าท่านไม่ว่าอะไรก็จุดไฟ พอเห็นไฟแล้วก็ขึ้น ทยอยกันขึ้นไป พอขึ้นไปวันนั้นท่านว่า ลักษณะเอะใจระลึกได้ในเวลานั้น เออ ว่างั้นนะ ผมก็ได้สั่งสอนพระเณรมานี้เป็นเวลานาน ใครได้คิดอะไรบ้างไหม ท่านว่าอย่างนั้นนะ คือได้สั่งสอนพระเณรมานี้จำนวนมากเป็นเวลานาน แล้วใครได้คิดอะไรบ้างไหม เท่านั้นละ เราก็กราบเรียนขึ้นทันทีเลย เพราะเราเข้าใจท่าน แต่จะถูกหรือผิดไม่รับรอง โอ๋ย คิดเต็มหัวใจละ เรื่องคิดนี่คิดเต็มหัวใจ แต่เวลานี้งานนี้เต็มหัวอกเลยไม่มีเวลาว่าง เราบอกอย่างนี้นะ กราบเรียนท่านตรง ๆ เลย แต่เวลานี้งานเต็มหัวอกไม่มีเวลาว่างเลย

ท่านปัดทันทีเลยนะเรื่องของท่านที่ว่า ใครคิดอะไร ๆ บ้างไหม ปัดอันนี้ เออ เอา ๆ เอางานของเจ้าของให้ได้ ไม่มีงานใดที่จะยิ่งใหญ่ยิ่งกว่างานของเจ้าของ เอางานให้ได้นะ งานเจ้าของได้แล้วจะแตกกระจายไปหมดเลย ท่านเลยไปทางนั้นเสีย เรื่องที่ใครจะคิดอะไรบ้างไหม คิดเรื่องราวการเทศนาว่าการของท่าน ท่านสอนยังไง ๆ บ้าง ตลอดปฏิปทาของท่าน ความหมายกว้างขวางไปอย่างนั้นละ แต่เราก็กราบเรียนท่าน บอกว่าคิดเต็มหัวใจเราก็บอก แต่เวลานี้งานเต็มหัวอกไม่มีเวลาว่างเลย ท่านเลยปัดอันนั้นออก เอางานของเราเชิดไปเลยเทียว เอางานของเจ้าของให้ได้นะ งานอื่นใดไม่สำคัญยิ่งกว่างานของตัวเอง ขอให้งานนี้แตกกระจายออกไปภายในนี้เถอะน่ะ มันจะแตกกระจายไปหมด ไปใหญ่เลยเทียว

ทีนี้ฝังใจเรานะ ท่านพูดเท่านั้นไม่พูดอีกเลย พอท่านมรณภาพแล้วก็คิดหาวิธีการ คือเราว่างเมื่อไรเราจะพยายามเขียนประวัติท่าน แล้วมันก็มายุ่งยากวุ่นวายเรื่อยมาจนกระทั่งมาเป็นโรคหัวใจ ความพยายามก็ยังไม่ลดละ พอเบาบางบ้างทีนี้ก็เอาละ ความจำจากเราเราก็จำมาแล้ว ที่จะไปศึกษาครูบาอาจารย์ซึ่งอยู่กับท่านในสมัยต่าง ๆ วัยต่าง ๆ กันเราก็ไปศึกษากับท่าน ศึกษาเขียนประวัตินั่นแหละ ไปศึกษาเอาที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง อาจารย์นั้นบ้างอาจารย์นี้บ้างเอามารวบรวม แล้วเอาเรื่องของเราที่ตั้งแต่ไปอยู่กับท่านวันแรกจนกระทั่งท่านมรณภาพจากไปออกมา นี้ละถึงได้เป็นประวัติของท่านขึ้นมา

เรารวบรวมถึง ๓ ปีนะไม่ใช่เล่น ๆ ตั้งหน้าตั้งตาไปเสาะแสวงหาจากครูบาอาจารย์องค์นั้น ท่านมาอยู่เป็นยังไง ๆ ให้อาจารย์เหล่านั้นอธิบายให้ฟัง เราก็จดเอา บางทีก็เทปอัดเอา ๆ เรื่อย จดไม่ทันต้องเอาเทปไปวาง ท่านพูดอะไรแล้วก็อัดเทปเอามาจด แล้วค่อยเรียบเรียง แต่พรรษานี้จำไม่ได้นะ คือจำไม่ได้หมด ถ้าจำได้หมดเราจะออกจนหมด แต่นี้จำไม่ได้หมดเราจึงไม่ได้ออก เราก็บอกเรายอมรับ พรรษาจำไม่ได้ จึงไม่บอกว่าจำพรรษาที่นั่นเท่านั้นปีเท่านี้ปีไม่บอก รวมเอาเลย ปีนั้นประมาณเท่านั้น ๆ ไป เช่นอย่างเชียงใหม่ ๑๑ ปี รวมทั้งอุตรดิตถ์ด้วย อุตรดิตถ์ท่านก็เคยมาจำพรรษาเหมือนกันนะ รวมกันแล้วดูเหมือน ๑๑ ปี จึงได้เขียนประวัติของท่านออกมา

เขียนอย่างพิถีพิถัน เพราะเราเขียนด้วยความเทิดทูนสุดหัวใจเราแล้ว เราเขียนเอง จดมาแล้วก็มาเรียง เรียงเสร็จเรียบร้อยแล้วเรียนพิมพ์อีกนะ ไปเรียนพิมพ์อีกเพื่อพิมพ์หนังสือท่าน ไม่ได้เรียนเพื่ออะไร เรียนพิมพ์ดีดพอได้ประมาณสัก ๔๐ คำต่อนาที เอาละที่นี่ เอาเลย พอเรียนพิมพ์ดีดเรียบร้อยแล้วก็พิมพ์หนังสือประวัติท่าน ๑ เล่ม แล้วปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐาน รวม ๒ เล่มที่เราเรียนพิมพ์ดีดมานะ แล้วเราเป็นคนตรวจปรู๊ฟเองหมดเลย ให้ขึ้นแท่นพิมพ์เลยเราบอก เราพิจารณาทุกสัดทุกส่วน เพราะฉะนั้นถึงได้ขึ้นแท่นพิมพ์เลยทั้งสองเล่ม จากนั้นพิมพ์ดีดก็ทิ้ง ไม่ทราบมันไปทวีปไหนจนกระทั่งป่านนี้ไม่เคยแตะเลย นั่นเรียนมาเฉพาะ

นี่พูดถึงเรื่องความเทิดทูน หลวงปู่มั่นเราสุดยอดแล้วทุกอย่างนะ ไม่ว่าภายนอกภายในรอบคอบทุกอย่าง หาที่ต้องติไม่ได้ ถ้าพูดถึงเรื่องภายใน เอ้า ถามเข้ามาว่างั้นเลย เรื่องภายในสำคัญมาก ให้ถามเข้ามาเลยไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน จึงได้เทิดทูน เวลาเขียนประวัติท่านจึงเอาให้เต็มเหนี่ยวเลย ตรวจทุกกิทุกกี ใช้ความพินิจพิจารณาไปทุกอักษรเลย เพราะฉะนั้นเวลาเอาอันนั้นให้เขาขึ้นแท่นพิมพ์ จึงไม่ให้มาตรวจต่อไปอีก เรายอมรับผิดของเราคนเดียว

ครูบาอาจารย์อย่างนี้หาได้ที่ไหน เรายังไม่เห็นว่างั้นเลย ในชีวิตของเราเราไม่เห็น เราเห็นพ่อแม่ครูจารย์มั่นองค์เดียวนี้เท่านั้นที่เราเทิดสุดยอดเลยนะ นอกนั้นก็เพียงผ่านธรรมดา ๆ ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดติดพันเป็นเวลานานเหมือนอยู่กับหลวงปู่มั่น อันนี้เป็นเวลา ๘ ปีเต็ม ตั้งแต่วันไปอยู่จนกระทั่งท่านมรณภาพจากไป สังเกตทุกกิทุกกีทุกแง่ทุกมุม จึงได้เขียนประวัติของท่านไว้เพื่อพี่น้องทั้งหลายได้อ่านดู นี่ละประวัติของท่านผู้วิเศษ ท่านวิเศษอย่างนี้ละ ท่านอุตส่าห์พยายามสมบุกสมบันใครจะเกินหลวงปู่มั่น ความลำบากลำบนสุดยอดอยู่นั้นหมดเลยนะ โห ท่านเป็นผู้บุกเบิกทางเดิน สุดยอดในเรื่องความทุกข์ความทรมาน จากนั้นมาแล้วก็ได้ลูกศิษย์ลูกหาค่อยกระจายออกไป ทุกวันนี้จึงมีกรรมฐานมาก ชื่อของท่านจริง ๆ ท่านเงียบไปเลยนะ เราจึงได้รื้อชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณออกมาให้พี่น้องชาวไทยได้ทราบ

เวลานี้หลวงปู่มั่นชื่อเสียงท่านก็ดังทั่วประเทศไทยแล้ว เวลาท่านอยู่ลำพังท่านท่านไม่ได้สนใจกับสิ่งเหล่านี้นะ ท่านผลิตแต่พระทั้งนั้นออก พระองค์สำคัญ ๆ ออกจากท่านทั้งนั้น นั่นละโรงงานอันใหญ่โตสำหรับผลิต พระทั้งหลายออกจากนั้นหมด ครูอาจารย์ทั้งหลายที่ชื่อเสียงโด่งดังกระทั่งทุกวันนี้ มีองค์ไหนล่ะที่ไม่ใช่ลูกศิษย์ท่าน ลูกศิษย์ท่านทั้งนั้น ท่านเด่นในทางนี้ เป็นโรงงานใหญ่สำหรับผลิตพระออกทำประโยชน์ให้โลก เราจึงได้เทิดทูนตลอดเวลา

เวลาท่านจะสิ้นก็สวยงามมากนะ เวลาท่านจะสิ้นลม เราดูเรียกว่าลืมตาหลับไม่ลงนะ ตาแห้งเลย คือดูไม่อิ่มไม่พอ ดูดูดดูดื่ม ยิ่งเวลาท่านจวนเท่าไรยิ่งจ้อตลอดเลย อู๊ย สลดสังเวชนะเรา สด ๆ ร้อน ๆ เราอุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านเราก็ภูมิใจ ภูมิใจยังไง คือเราสละชีวิตหมดแล้วทุกอย่าง การอุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านในเวลาธรรมดาก็มีพระมีเณรปฏิบัติดูแลท่านใกล้ชิดติดพัน เราเป็นแต่เพียงว่าคอยดูแลอยู่ภายนอก ทีแรกก็เรานั่นแหละ ต่อมาก็อย่างที่ท่านพูด พระที่มีอายุพรรษามากแล้วก็ถอยให้ผู้ที่มีอายุพรรษาน้อย ๆ ได้ทำข้อวัตรปฏิบัติบ้าง เดี๋ยวจะไม่มีนิสัยติดหัวมันแหละพระนี่ ท่านว่างั้น ผู้ที่มีอายุพรรษาแล้วก็เพียงแต่อยู่ห่าง ๆ ก็ได้ คอยแนะคอยบอก จากนั้นมาเราก็ออก ก็ปล่อยให้พระเข้าไปในห้องในหับท่าน ปล่อยเข้าไปองค์ไหนเราเป็นคนสั่งเรียบร้อยแล้ว พิจารณาเรียบร้อยแล้วค่อยปล่อยให้เข้าไป ๆ ทุกอย่าง

ข้อวัตรปฏิบัติบริขารท่าน ใครจับมาชิ้นไหนอย่าก้าวก่ายกัน ใครเคยได้ชิ้นนี้เอาชิ้นนี้อย่าไปเอาชิ้นนั้น เราสั่งไว้หมดเลย เราคอยดูอยู่ห่าง ๆ ตลอด นี่เวลาธรรมดา เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยเราเข้าใกล้ชิดเข้าเรื่อย ๆ จนกระทั่งท่านป่วยหนักนี้เราห่างจากท่านไม่ได้เลยนะ ตลอดเวลา นี่เราก็ภูมิใจ ด้วยอำนาจแห่งความเทิดทูน ด้วยความรัก ความเลื่อมใสอะไรทุกอย่าง มารวมอยู่ในนี้หมดเลย ท่านจะเอาอะไรเท่านั้นเอง เรื่องเราไม่มีปัญหาเลย ติดแนบตลอดเวลา นี่เราก็ภูมิใจนะได้อุปถัมภ์อุปัฏฐากพระองค์ล้ำเลิศประเสริฐสุดในโลกสมัยปัจจุบัน ก็คือหลวงปู่มั่นนั่นเอง

เวลาท่านป่วยหนักจริง ๆ แล้วท่านก็ไม่ได้สั่งนะ เราก็ไม่ได้บอก มันหากเป็นเรื่องความจำเป็นของท่านและของเรา และของพระของเณรที่จะปฏิบัติต่อกันจนได้นั่นแหละ เวลาท่านป่วยหนักเท่าไรนี้ จะมีแต่เราละพัวพันท่าน พระเณรไม่ค่อยกล้านะ ไม่กล้าเข้าไป ก็ไม่ใช่ว่าเราได้บอกนะ พระเณรหากเป็นอย่างนั้นเอง ท่านเองก็ไม่ได้สั่งเสียใคร อยู่กับเราเวลาจำเป็นจริง ๆ ก็มีแต่เรากับท่านติดกันอยู่ตลอดเวลาเลย ท่านจะสั่งเสียอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่มี เช่น สั่งให้พระเณรมาเปลี่ยนบ้างเวลาท่านหนักมากกลางคืน ทั้งคืนไม่ได้หลับก็มี เสมหะวัณโรคน่ะ ครั้นเวลาหนาวเสมหะมันกำเริบ ไอจนจะเป็นจะตาย เราต้องเอาสำลีวางไว้ข้าง ๆ อยู่ในมุ้ง เอาสำลีกว้านแล้วกวาดช่วยท่าน ๆ ตลอดเวลา เป็นเวลาเท่าไรก็ตามนะ ท่านก็ไม่เคยได้บอก

ท่านมหาทำอยู่นี้นานแล้วคงจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เอาพระเณรมาเปลี่ยนตัวบ้างก็ไม่เคยเห็นท่านพูดนะ เราก็ไม่เคยสนใจกับใคร แน่ะมันก็เข้ากันได้ คือไม่สนใจกับใครที่จะมาทำต่อท่านอย่างนี้ เป็นตายเรามอบหมดแล้ว โง่หรือฉลาดก็ให้เป็นเราเอง เรื่องเลยเข้ากันได้ จนกระทั่งท่านมรณภาพจากไป วันไหนท่านไม่หลับเราไม่หลับเลย ถ้ากลางวันนี้ท่านได้พักบ้าง แล้วก็มีพระเณรคอยกำกับเสีย เราก็อยู่ห่าง ๆ ถ้าตอนกลางวันนะอยู่ห่าง ๆ คอยพระเณรเข้าไปกำกับ พอตกเย็นเข้ามาเราเริ่มละที่นี่ พอตกกลางคืนมาเราเข้าเลย อย่างนั้นเป็นประจำ เราเทิดทูนท่าน จึงว่าเราภาคภูมิใจในการอุปัฏฐากรักษาท่าน เรียกว่าเต็มภูมิเราเลยนะ

เป็นอะไร ๆ อย่างเขาว่าวัณโรควัณแรกนี้เป็นโรคที่ติดกันได้ง่าย เราไม่สนใจเลย คลอเคลียกับท่านอยู่นี่ ก็เสลดของท่านเต็มคอ คอท่านกับคอเราก็อยู่ด้วยกันไม่เคยสนใจ ตลอดเวลาเลย จนท่านมรณภาพจากไป เรียกว่าเราภาคภูมิใจในตัวของเราเองที่ปฏิบัติต่อท่าน เรียกว่ามอบถวายทุกอย่างเลย ความโง่ความฉลาดให้อยู่กับเราผู้เดียว เพราะฉะนั้นพระเณรจึงไม่กล้าซี เราก็ไม่เคยบอกใครมาช่วย พระก็ไม่กล้ามา อยู่นอกมุ้ง เต็มอยู่ข้างนอก มีแต่เราอยู่ภายใน ๆ เป็นประจำๆ อย่างนั้น

มีอันหนึ่งที่เป็นข้อคิดก็คือว่า เวลากลางคืนบางทีท่านก็งีบไปบ้างนะเราอยู่นั้น พอท่านหลับไปบ้างเราก็บอกพระองค์ไหนที่เราไว้ใจพอสมควรให้เข้ามาแทน แล้วก็บอก นี่ผมจะไปเดินจงกรมอยู่ตรงนั้น บอกที่ด้วยนะ ตามธรรมดาเราจะบอกใครเวลาเดินจงกรม ตั้งแต่จุดไฟเราไม่เคยจุดว่าไง อันนี้ยังบอกนะ นี่ผมจะไปเดินจงกรมทางนี้นะ คือทางจงกรมของเราอยู่นั่น ข้างๆ มันเป็นดงเข้าไปปั๊บไม่เห็นคน เวลาท่านตื่นแล้วท่านมักจะถาม พอลืมตาขึ้นมาท่านมหาไปไหน สำคัญอันนี้นะ เราบอกว่าเราอยู่ตรงนั้นพอท่านตื่นแล้วให้รีบไปเอาเรามา สักเดี๋ยวไม่นานพระหรือเณรปุ๊บปั๊บเข้าไป หือ ท่านตื่นหรือ ปุ๊บออกเลยเข้าเลยเป็นประจำอย่างนี้

นี่ละพระองค์ที่วิเศษวิโสในปัจจุบันเห็นประจักษ์ ภายนอกภายในนี้ โถ ไม่มีอะไรที่จะอัดจะอั้นนะ หลวงปู่มั่น เอ้า ถ้าพูดถึงเรื่องพวกเทพพวกเปรตพวกผีเทวบุตรเทวดา เอา มาว่างั้นเลย ท่านจ้าหมดแล้ว ถ้าพูดถึงเรื่องธรรมภายในการถอดถอนกิเลส เอา บอกมาขั้นใดตอนใด พอปั๊บมานี่ใส่ปัวะเดียวพังเลยๆ นั่นผู้ที่รู้แล้วมาสอนโลก ไม่ได้เหมือนกับต่างคนต่างหลับตาสอนกัน ผิดกันอย่างนั้นนะ พูดไม่กี่ประโยคละใส่ปั๊บเดียวพังเลย กราบมับๆ ไปเลยไม่อยู่นานนะเรา เวลาจำเป็นจริงๆ ก็เราแก้คนเดียวเราไม่ได้นี่นะ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดเคยมี มันเกิดขึ้นมาเราก็ไม่เคยรู้เคยเห็น ไม่ทราบจะปฏิบัติกันยังไง ก็มองเห็นแต่ครูบาอาจารย์เท่านั้นที่ท่านผ่านมาเรียบร้อยแล้ว พอติดปัญหาปั๊บ ปุ๊บเข้าไปหาท่าน พอเล่าถวายท่านใส่เปรี้ยงเดียวเท่านั้นนะขาดสะบั้นลงเลย หายสงสัยกราบมับๆ ไปเลย นั่นอย่างนั้นนะ

บางทีขึ้นถึง ๒ ครั้งก็มี ที่ว่างานคับเต็มหัวอกนั่น ไม่มีเวลาว่างเลยก็คือสติปัญญาอัตโนมัตินั่นเองพูดง่ายๆ ไม่มีเวลาว่างเลย หมุนติ๋วๆ แม้ทำงานกับท่านเองมันก็ทำของมันอยู่ในนี้ตลอดเวลา นี่เรียกว่างานของจิต งานจะออกจากวัฏฏะจริงๆ จะไม่มีรออะไรทั้งนั้นแหละ มีแต่จะให้พ้น ให้พ้นๆ พุ่งๆ ตลอด อะไรมายุ่งไม่ได้ การอยู่การกินอะไรเหมือนไม่มีว่างั้นเถอะนะ มีแต่งานระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันเป็นวงใน จิตเป็นสนามแล้วก็เป็นเวที กิเลสกับธรรมเป็นนักต่อสู้ ฟัดกันอยู่บนหัวใจ นี่ละไม่มีเวลาถอยกัน ธรรมเมื่อมีกำลังกล้าแล้วจะไม่มีคำว่าถอย มีแต่พุ่งๆ ตลอดเลย ถึงขั้นนั้นแล้วยังไงเอาไว้ไม่อยู่ละธรรม หมุนติ๋วๆ จนขาดสะบั้นลงไปหมด โลกธาตุนี้ว่างเปล่าไปหมดแล้วมันก็รู้เอง ทูลถามพระพุทธเจ้าทำไมว่า สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติต้องรู้เองเห็นเอง

พระพุทธเจ้าตรัสรู้เองเห็นเอง พระสงฆ์สาวกตรัสรู้เองเห็นเองไม่จำเป็นต้องถามกัน ธรรมประเภทเดียวกันรู้อย่างเดียวกันถามกันหาอะไร เท่านั้นพอ นั่นละที่ว่าธรรมสดๆ ร้อนๆ เป็นธรรมประจักษ์ เมื่อเจอเข้าไปแล้วไม่ได้ถามใครละ ไม่เคยเจอมาแต่ไหนก็ตามพอเจอ อ๋อ ทันทีเลย นั่น นี่เป็นสิ่งที่เกี่ยวโยงกับพระพุทธเจ้าที่ทรงรู้ทรงเห็นไว้แล้ว ไปเห็นปั๊บ อ๋อ พระองค์ก็สอนไว้แล้วตั้งแต่นั้น ๆ อย่างนั้นนะ มันหากเป็นของมันไปเรื่อยๆๆ

นี่ละการปฏิบัติเมื่อตั้งใจปฏิบัติอยู่แล้วก็เป็นอย่างนี้ตลอดๆ ไปแหละ เหมือนเราปฏิบัติตามกิเลสให้กิเลสลากถูไป มันก็เป็นกองทุกข์เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าตลอดมาและจะตลอดไปอย่างนี้ ผู้ที่มีธรรมเป็นฝั่งเป็นฝาพอปิดพอกั้นต่อต้านต้านทานกันบ้าง มันก็พอมีพอฟัดพอเหวี่ยงกันไป มีสุขบ้างทุกข์บ้าง มีที่ซุกหัวนอนได้ไม่มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ตลอดเวลาด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมอย่างเดียว ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นนะ นี่ศาสนาจะหมดไปๆ จะไม่มีอะไรเหลือแล้วเวลานี้นะ โฮ้ย ดูสลดสังเวชนะเรา เราพูดจริงๆ นะมองไปที่ไหนมันเป็นยังไง ก็มันมีแต่กิเลสกำแพง ๗ ชั้นสู้ไม่ได้ความหนาของกิเลส มันห่อมันล้อมแต่ละคน ๆ กำแพง ๗ ชั้นยังสู้กิเลสหนาไม่ได้นะ หนาในหัวใจของสัตวโลก แล้วมันจะเอาความสุขมาจากไหน

ก็กิเลสมันสร้างแต่กองทุกข์ทั้งนั้น กำแพงของมันหนาถึง ๗ ชั้น มันจะมีความทุกข์ขนาดไหนในหัวใจดวงหนึ่ง มากี่กัปกี่กัลป์แล้วนานสักเท่าไหร่ มันแบกมาตลอดนี่ แล้วยังจะแบกไปตลอดอีกนานขนาดไหน ด้วยกำแพงของกิเลส ๗ ชั้นๆ ไม่มีบางบ้างเลยนี่เป็นยังไง ถ้ามีธรรมเข้าไปตีพอกะเทาะบ้าง ก็ยังพอที่จะแหวกเข้ามาหาช่วยตัวเองได้ด้วยศีลด้วยธรรมนะ อันนี้ไม่มีอะไรจะช่วยตัวเองได้ ไปที่ไหนมันบ่นกันทุกหย่อมหญ้าๆ เราสลดสังเวชอย่างนี้นะ ถ้าพูดออกไป ก็กิเลสมันเป็นคนดีเสียหมดโลกนี่ มันก็หาว่าเราเป็นผู้ต้องหาคนเดียว บ้าตัวนี้มันพูดอะไรแทรกโลกขึ้นมานี้ มันก็จะว่างั้นเสีย เราก็ปล่อยให้เข้ารุมกันไปแหละ เราบ้าแบบเราเราอยู่สบายเราก็พอ ให้เขาเพลินเขาไปฟาดทั้งตดทั้งขี้แตกเราก็ช่างหัวมันแหละ ไม่ใช่ตดเราขี้เรานี่วะเข้าใจไหม ตดเขาขี้เขา มันทนไม่ไหวตดแตกออกขี้แตกออกเข้าใจไหม

ทุกข์บีบคั้นหัวใจมันมันจะตาย ระบายออกมาทุกแง่ทุกมุม มาเจอกันนี้พูดแต่เรื่องกองทุกข์นะ ระบายต่อกัน ๆ ใครก็มีแต่กองทุกข์ด้วยกันระบายหาอะไร ถ้าเป็นสินค้าใครจะซื้อใครมันเต็มด้วยกันทุกคน คนหนึ่งมีอันหนึ่ง คนหนึ่งมีอันหนึ่ง มันพอซื้อขายกันได้คนเรา นี้ต่างคนต่างมีแบบเดียวกัน ความทุกข์ความทรมานทุกแบบทุกฉบับมันมีแบบเดียวกัน เอามาขายกันหาอะไร นี่เรื่องกองทุกข์ของโลกเป็นอย่างนี้ ฟังให้ดี กองทุกข์ของธรรมอยู่ที่ไหน ผู้ปฏิบัติธรรมมากน้อยจะเห็นชิ้นเห็นส่วนของตัวเองเป็นลำดับๆ จนกระทั่งแน่ใจๆ จากนั้นแล้วก็ถึงขั้นผึงแล้วเท่านั้น ถ้าว่าจะพูดแบบโลกเขาก็สนุกดูว่างั้นเลย แต่ท่านจะสนุกอะไรไฟเผาโลกเห็นอยู่ ท่านจะเอาอะไรมาสนุก แต่ท่านไม่เป็นทุกข์ แน่ะ ก็มีแต่ปลงธรรมสลดสังเวช

แนะนำสั่งสอนยื่นไม้ให้ เอา ดึงขึ้นมาให้จับไม้นี้ ดึงขึ้นมา คำสอนสอนลงไปดึงขึ้นมา ผู้ใดจับได้ดึงได้ก็ค่อยผ่านไปๆ บรรเทาความทุกข์ พ้นจากน้ำที่พลุ่งพล่านๆ ไปด้วยฟืนด้วยไฟด้วยกิเลสตัณหาอันเป็นไฟเผาโลกในหัวใจนั้นค่อยเบาลงๆ ค่อยสบายนะ เอาละวันนี้พูดตั้ง ๓ โมงแล้วนะไม่ใช่เล่น ให้พร…

เมื่อวานนี้วันที่ ๕ เมษาทองคำได้ ๑๑ บาท ๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๕๓ ดอลล์ โฮ้ เหนื่อย ตั้ง ๙ โมง ๑๐ นาทียังไม่ลุกจากที่เลย วันนี้ไม่ทราบว่าพูดเรื่องอะไรต่อเรื่องอะไร

ลูกศิษย์ พูดเรื่องไปขโมยอ้อยครับ

หลวงตา เรื่องขโมยอ้อยนี่เราได้ชมข้อหนึ่งคือมันจำไม่ลืมนะ ได้ชมอันหนึ่งอุบายวิธีการของขโมยเก่งอยู่นะ มันเก่งมาแต่เป็นเด็ก ก็ตั้งหน้าตั้งตาไปขโมยอ้อยเขาร้อยเปอร์เซ็นต์นี่นะ พอเห็นอ้อยอยู่มุมรั้วสวนเขาน่ะ ผ่านไปก็เห็นผ่านมาก็เห็นมันหิวมากเข้าๆ ก็เลยชวนพี่ชายไปตัดอ้อยเขาไปขโมยอ้อยเขาไปกินเถอะว่างั้น แล้วไปบาปมันสู้บุญไม่ได้ซิไปตัดอ้อยคลานออกมา เขาปิดประตูแล้วเด็กมันรอดได้นี่ รอดออกมามาเจอเขาพอดี เหอ เด็กเหล่านี้สูทำไมไปขโมยอ้อยกูล่ะ ว่างั้นนะ เขาพูดยิ้มแย้มแจ่มใสนะเขาไม่ได้มีอะไรกับเรา เพราะมันเกินกว่าจะมาถือว่างั้น ยืนอยู่ยิ้มๆ เด็กนี้สูทำไมไปขโมยอ้อยกูล่ะว่างั้นนะ โอ๊ย ผมไม่ได้ขโมยนะป้าว่างั้น ดูซิมันแก้ของมันนะ นี่ผมหิวมากผมจะไปตัดอ้อยแล้วจะเอาไปให้ป้า บอกป้าแล้วผมจะเอาไปบ้านผม ว่างี้นะ มันเป็น จำได้ไม่ลืมนะ เออ ถ้างั้นก็เอาเสีย โอ๊ย กูไม่เอาแล้วสูเอาเสีย

ผู้เฒ่าก็ผ่านไปเราก็ไป ไปอวดตาละซี ตาจึงฟาดเอาหลงทิศไป ไปบอกตาซิบอกขโมย ไปเจอเจ้าของเขาก็หาเรื่องบอกว่าไม่ได้ขโมย จะตัดอ้อยไปบ้านเขา ทีนี้ตาได้ยินแล้วก็ตาจับเอาไว้ ก็มันญาติกันพวกนี้ก็ดี พอไปก็ไปบ้านเขาเลย เด็กเขาไปขโมยอ้อยสูรู้ไหม เขาไม่ได้ขโมยนะ ไม่ขโมยยังไงมันมาบอกกูแล้ว ทางนี้ก็เล่าให้ฟัง โอ๊ย ช่างหัวมันประสาเด็กเขาก็ว่างั้น มาก็ขยำใหญ่เลย บอกหาตำรวจมา ให้เตรียมที่เตรียมฐานให้มันเดี๋ยวตำรวจจะมามัดไปเข้าคุกเข้าตะรางพวกขโมยนี่ว่างั้น คือเดี๋ยวมันจะเคยตัว ตาจึงดัดไว้อย่างนั้นนะ ขึ้นไปในห้อง นั่นแหละปิดประตูเขายิ่งจะเอาง่าย ก็โดดออกจากห้อง ร้องไห้ไม่ลืมนะ ต่อจากนั้นก็ไม่เอาแหละ ไม่ขโมยแล้ว นี่ละเด็กมันเป็นทุกอย่าง

(บ้านที่ว่าเป็นฝีดาษอยู่ที่ไหนคะ) แถวกระโหม-โพนทองแหละ คือบ้านใหญ่นะเป็น บ้านที่เราไปพักนั้น ๘-๙ หลังคาเรือน แต่บ้านใหญ่เขานั้นบ้านติดต่อแถวนั้นน่ะ มันเป็นแล้วเขาเอามาฝังที่ป่าช้าเดียวกัน แถวนั้นเขารวมป่าช้าฝังที่นั่น เพราะฉะนั้นเราจึงไม่หนีไปไหน เดี๋ยวเอากันมา ๆ เดี๋ยวนี้ที่เราจะไปดูสภาพบ้านเก่าเขานะ เราจะไม่รู้เลยไม่ว่าที่ไหน คือมันจะเปลี่ยนสภาพไปหมด ถนนหนทางบ้านเรือนนี้จะเปลี่ยนไปหมด เพราะแต่ก่อนไม่มีทาง ทางก็ทางไปมาธรรมดาพอหลวมล้อหลวมเกวียนเท่านั้นแหละ เดี๋ยวนี้มันเป็นถนน มันจะไปรู้ได้ยังไง

อันนี้ก็เห็นความเด็ดของจิตใช่ไหมล่ะ ที่เอามาพูดนี้แก้ด้วยธรรมจริงๆ ไม่มียาแม้น้ำหยดหนึ่งเลยนะ ยารากไม้ไม่มี เขาเอามาให้เขาถือยามาคนนี้นะ ให้เอาคืนให้หมด บอกอย่างนั้นนะยาของเรามีแล้ว ๆ บอกเรามีแล้ว ก็คือมีอยู่ในนี้ นั่นไม่บอก มีแล้วๆ เพื่อตัดความยุ่งเหยิงวุ่นวายและเพื่อย่นเวลาเข้ามานี้จะขึ้นเวทีแล้ว เพราะอันนี้มันเร่งหนักเร่งเข้าหนักจึงบอก โอ๊ย นี่คน ๒ วันถึงตายมันเร่งจริงๆ นะมันเป็นในนี้ คือหายใจแรงไม่ได้นะ ถ้าจามนี้ก็สลบไปเลย นี่เขาเรียกว่าไข้เจ็บขัดอกเขาพูดกันทางนั้นนะ เวลามาโดนเราเข้า นั่งในป่าช้าไม่นานนะยุบยับๆ ขึ้นมา เร็วเสียด้วย เราจึงได้บอกเขา โรคที่โยมทั้งหลายเป็นเอากันมาเผานี่ เวลานี้อาตมาเริ่มเป็นแล้วนะเราว่างี้นะ นี่อาตมาจะกุสลามาติกาให้ไม่ได้แล้วจะรีบไปที่พักแหละ นี่รวดเร็วด้วยนะ

แล้วเขาก็ตื่นตกใจนะ โอ๊ย ถ้างั้นให้ท่านไป ไม่ได้ๆ เขาว่า ไม่มีใครที่จะค้านนะ ให้ท่านไป ไม่ได้ๆ พอไปถึงที่พักมันเหมือนหอกเหมือนหลาวทิ่มเข้ามาตรงกลาง หายใจแรงไม่ได้ ถ้ายิ่งจามด้วยแล้วสลบไปเลย นั่นละเขาก็ติดตามอย่างรวดเร็วนะ เราก็บอกว่านี่เป็นรวดเร็วด้วยนะ เริ่มขึ้นมากแล้ว อาตมาขอไปแหละ โอ๊ย นิมนต์ๆ เขาก็ว่า คนยังเต็มในป่าช้านะยังเผากันอยู่ไม่หยุด ยังหนีต่อหน้าต่อตาเขาเลย พอไปถึงที่ไม่นานเขาก็ตามมา ไม่ทราบมันบอกใคร ก็คือในป่าช้าคนมันมากอยู่แล้วมันก็ทราบทั่วถึงกันอย่างรวดเร็วใช่ไหมล่ะ พอเราไปถึงนั้นไม่ถึงชั่วโมงเลยคนเต็มมาหมดแล้ว เขาเป็นห่วงเราเขาตัวเราตาย เพราะเขาเห็นประจักษ์อยู่แล้ว มาก็ไล่ทันทีเลย ขึ้นบนแคร่ เทียนเอาไปจุดวางไว้ต้นเสา นอกมุ้งนะ มุ้งกลดอยู่นี้ หากว่าเกิดอะไรขึ้นมาเดี๋ยวจะไปเตะเทียนแล้วจะเผามุ้ง เผามุ้งก็เผาทั้งเราด้วย

ขึ้นเวทีแล้วต้องเตรียมพร้อมเลย เอาไฟตะเกียงเหมาะๆ อย่างนี้แหละ ไปวางไว้นั้นจุดไว้ ขึ้นร้านเล็กๆ เตรียมพร้อม ทางนี้มันก็เสียดเข้าๆ นี่แหละที่พูดถึงว่ามันห่วงมันไม่อยากตาย เราก็พูดใช่ไหมในหนังสือ คือห่วง คำว่าห่วงไม่อยากตาย ถ้าตายเดี๋ยวนี้มันจะค้างความหมายน่ะ มันรู้ชัดๆ อยู่จะว่าไงหัวใจนี่ ถ้าตายนี้จะไม่ถึงนิพพานพูดตรงๆ นะ มันจะค้าง ค้างที่ไหนก็ไม่เอา ถ้าถึงนิพพานแล้วไปเมื่อไรได้เลยเราไม่ว่า แต่เวลานั้นยังไม่ถึง ละเอียดขนาดไหนเวลานั้น ละเอียดมากเชียวนะ ก็คิดดูออกจากนั้นมาขึ้นวัดดอยก็ไปม้วนเสื่อกันบนวัดดอย มันก็ใกล้นิดเดียวใช่ไหมล่ะ ใกล้เวลาแล้ว

ทีนี้มันก็เป็นห่วงไม่อยากตาย คือถ้าตายแล้วมันจะค้าง ค่างอยู่ที่ไหนมันก็รู้อยู่ชัดๆ จะว่าไง สวรรค์ ๖ ชั้นมันสงสัยที่ไหน เห็นไหมธรรมพระพุทธเจ้าถามใคร ไม่ถามใครนะนี่ เวลานี้ตายลงมันจะอยู่ชั้นไหนมันรู้ทันทีๆ ไปเลย แต่ต่ำๆ ไม่อยู่แหละ สุทธาวาส ๕ ชั้นไม่สงสัยพูดง่ายๆ ว่างี้เลย พูดกันเปิดอกละซี สุทธาวาส ๕ ชั้นไม่สงสัย แต่มันค้างนี่ ถ้าถึงนิพพานแล้วเมื่อไรไปได้ นี่ละมันเป็นห่วง ทีนี้ธรรมก็กระตุกขึ้นมาละซี เห็นไหมล่ะนั่นละธรรมขึ้นในใจ อ้าว จะไปกังวลอะไรกับเรื่องความเป็นความตายล่ะ ขึ้นนี้เลยนะ ผางๆ เลย

จะไปกังวลวุ่นวายอะไรกับเรื่องความตาย เราก็เรียนอริยสัจมาแล้ว ความเป็นความตายก็เป็นเรื่องอริยสัจ เรื่องเหล่านี้เราก็เคยผ่านมาแล้วตั้งแต่สมัย บอกเลยนะ สมัยอยู่บ้านนามน ฟัดกับกิเลสถึงขนาดที่ว่า เวลาตายมันจะความทุกข์หน้าไหนมาหลอกเรา จะให้เรากลัวให้เราหลงนะ อันนี้ดึงมาตั้งแต่บ้านนามนลากกลับมา ตั้งแต่สมัยอยู่บ้านนามนท่านก็ขึ้นเวทีนี้จัดเจนมาแล้ว ทำไมมาวุ่นวายอยู่อะไร ท่านไม่ได้บอกว่าหลงนะ ทำไมมาวุ่นวายอย่างนี้ล่ะ พอว่างั้นจิตกลับปึ๊บเลยทันทีนะ ความห่วงใยเรื่องความเป็นความตายนี้หมดเลย เพราะอันนี้ก็เป็นอริยสัจ นั่นท่านบอกไว้แล้ว ท่านก็ผ่านมาแล้วนี่ พอว่านี่ตัดปุ๊บเลยเป็นตายไม่รู้ ฟาดอริยสัจ ทีนี้มันก็พุ่งของมัน พุ่งๆ ตั้งแต่หัวค่ำถึง ๖ ทุ่มกว่ามันถึงลงกันได้ เวทีของโรคอันนี้แตกกระจายในคืนนั้น โล่งไปหมดเลยนะ

เห็นไหม นี่แก้ด้วยธรรมโอสถไม่มียาขนานใด ไล่กันไป เราถึงได้รู้ชัดเจนว่าโรคอันนี้โลกทั้งหลายเขาจะถือกันว่าเป็นโรคระบาดนะ เช่น อหิวาต์เป็นต้น เพราะมันตายวันหนึ่ง อย่างน้อยวันละ ๓ ศพ อย่างมากวันละ ๘ ศพ เขาขนมาเผาจนกระทั่งเราหนีจากป่าช้าไม่ได้ว่างั้นเถอะ หนักเข้าหนีป่าช้าไม่ได้นั่งกุสลาตลอดเลย คือมันเป็นอย่างรวดเร็ว ทีนี้พอนั้นมันกระจ่างไปหมดแล้วมันก็ตัดสินของมันได้เลย เอาทีนี้ไม่ตายเห็นไหมล่ะ มันไล่กันทุกกิทุกกีเลยนะ นี่เราถึงทราบว่าไม่ใช่โรคระบาด แต่มันจับติดได้อันหนึ่งคือว่ามันเป็นโรคพิษอันหนึ่ง หรือว่าโรคลมพิษหรืออะไรก็ตามมันเข้ามานี้ แถวนั้นคงจะมีลมพิษประเภทเดียวกัน มันถึงขนกันมา ตายกันมาแบบเรานี่

ทีนี้พอเราพิจารณานี้ไล่อันนี้ออกกระจายออก ๆ โอ๋ย เห็นประจักษ์ในหัวใจ มันไม่มีอะไรเป็นเชื้อโรค มีแต่เรื่องที่เป็นพิษก็เป็นอารมณ์ เป็นนามธรรมอันหนึ่งๆ เช่น ทุกข์อยู่นี้มองหาตัวไม่เห็นใช่ไหม แต่มันก็ทุกข์ อันนี้เป็นลมพิษอันหนึ่งเป็นลักษณะอย่างนี้ เวลามันไล่กันๆ กระจายออกๆ ไล่ออกหมดโล่งไปหมดเลย อ๋อ นี่มันไม่มีเชื้อ มันเป็นพิษอันหนึ่งที่มันเป็นอยู่ในบริเวณนี้เราว่างั้นนะ เราพูดของเราเอง เราทราบจากนี้ของเรา ไม่มีเชื้อ จากนั้นก็หายเลยเห็นไหมล่ะ ไม่มีอะไร นี่เรียกว่าธรรมโอสถ แก้กันอย่างสดๆ ร้อนๆ เลย ทีแรกมันห่วงเป็นห่วงตายไม่อยากไป ไปแล้วก็จะค้างชั้นนี้ๆ ไม่ค้างจะเอาให้มันถึง นั่นเห็นไหมล่ะ พออริยสัจมาเตือนปึ๋งทีเดียวเท่านั้น โอ๋ย ล้มหมดเลย แล้วพุ่งเลยเทียว เอาละเดี๋ยวมันจะบ่ายโมงแล้ว

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก