ศาสนากับโลกแยกกันไม่ออก
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2548 เวลา 8:25 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๘

ศาสนากับโลกแยกกันไม่ออก

โรงพยาบาลศูนย์อุดรวัดนี้ช่วยมากที่สุดนะ รถดูเหมือนให้ไปแล้ว ๔ คัน เครื่องมือมีแต่เครื่องมือสำคัญๆ เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ อุลตราซาวด์ก็ ๒ เครื่องใหญ่เครื่องละ ๓ ล้าน ให้ๆ แล้วเครื่องมือผ่าตัดสมอง ผ่าตัดที่สำคัญๆ ให้ทั้งนั้น เฉพาะตานี้เรียกว่าสมบูรณ์เลย เครื่องมือตาให้ครบสมบูรณ์เลย แล้วเปิดทางให้ด้วยสำหรับตาให้สมบูรณ์ และเครื่องมืออะไรที่เกี่ยวกับตา หากว่าสิ่งที่ควรต้องการสำหรับตาแล้วให้สั่งมาเลย เราว่างั้น เมื่อของตกมารับรองคุณภาพเรียบร้อยแล้วให้ส่งบิลมา ส่งบิลมาเราก็จ่ายๆ เงิน

เพราะฉะนั้นทางตาเราจึงสมบูรณ์สำหรับโรงพยาบาลศูนย์ เครื่องมือตานี้สมบูรณ์เต็มที่เลย ไม่แพ้กรุงเทพว่างั้นเถอะ ครบเลยๆ มิหนำซ้ำยังเป็นเครื่องมือใหม่เอี่ยมๆ ด้วย โรงพยาบาลศรีนครินทร์ยังต้องมาอาศัยนี้สำหรับตานะ ศรีนครินทร์ยังต้องมาอาศัยอุดร เพราะเราเห็นคุณค่าของตามากทีเดียว ตานี้สำคัญมากทีเดียว ใช้หู จมูก ลิ้น อะไรๆ นี้มาลงอยู่ที่ตานะ ตื่นขึ้นมาพับมองเห็นแล้ว ไปเที่ยวที่ไหนๆ ต้องเอาตาเป็นสำคัญ ไปเที่ยวที่ไหนๆ ก็ตามเอาตาเป็นสำคัญทีเดียว

เช่นอย่างเราไปที่ไหนเที่ยวที่ไหน อยากดูอยากรู้อะไร ตาเป็นที่หนึ่งละ เที่ยวดูไป หูจะหนวกบ้างไม่เป็นไร ขอให้ตายังดี ถ้าตาบอดเสียอย่างเดียวหมดความหมาย มันมืดตลอด มีสมบัติเงินทองกองเท่าภูเขาก็ไม่มีความหมาย สำหรับคนตาบอดเป็นอย่างนั้น เป็นเจ้าของสมบัติ ให้ขึ้นไปนั่งบนกองเงินกองทองก็ไม่มีความหมายอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นตาจึงเป็นของสำคัญ เราคิดในแง่นี้แล้วจึงต้องขวนขวายหาเครื่องมือตาให้ได้ครบ

นี้คิดแล้วยังพูดไว้อีกด้วยว่า ถ้าหากว่าพอเป็นไปได้ ความคิดเราคิดไว้เรียบร้อยแล้วนะ เป็นแต่เพียงว่าสมบัติเงินทองไม่อำนวยเท่านั้น จะไปเที่ยวตามจุด จุดไหนที่สำคัญแล้วก็ไปช่วยตามจุด จุดนั้นก็จะให้สมบูรณ์แบบเดียวกันนี้ คือช่วยทางตาโดยเฉพาะ เพราะตานี่สำคัญมาก นี่ก็เลยติดต่อกับผู้ว่าฯชัยพร เกี่ยวกับทางเครื่องมือแพทย์สำหรับตา ว่าจะลงจุดไหนควรอย่างไร เช่นอย่างทางภาคอีสานไปทางตะวันออกไม่มี จำเป็นมาก คิดว่าจะตั้งที่นั่นสักแห่งหนึ่ง แล้วแยกไปภาคไหนๆ พยายามตามภาคต่างๆ ในเมืองไทยของเรา ให้ได้ทุกภาคๆ แล้วดี ตาสำคัญมาก

การเงินการทองนี่สำคัญไม่ทันนะเรา เราช่วยโลกช่วยมากจริงๆ เรียกได้เต็มปากว่า สมบัติเงินทองในวัดนี้เพื่อโลกทั้งนั้นว่างั้นเลย ไม่ได้เพื่อเรา ได้มาเท่าไรๆ ก็ช่วยตลอดๆ เพื่อโลก สำหรับวัดเราก็ไม่เห็นมีอะไรบกพร่องขาดเขิน ทางอื่นซิขาดเขินมากจึงต้องไปช่วย หากว่าพอเป็นไปได้แล้วก็เอาจุดใดจุดหนึ่งเรื่องเครื่องมือตา ให้ได้อย่างอุดร อุดรนี้พูดเต็มปากได้แล้วว่า เครื่องมือตานี่สมบูรณ์เต็มที่เลย สุดท้ายนี้เขาขอมา ๗ ล้านกว่า ก็ให้ไปหมดแล้ว ของตกมาแล้ว ทางเวียงจันทน์ก็น่าจะตกมาหมดแล้ว

คือมันจ่ายมากต่อมากเราจึงจำไม่ได้นะ อะไรตกมาๆ จำไม่ได้ เพราะจ่ายมากต่อมากรอบด้านเลย โรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่งที่ช่วยชาตินะ แล้วโรงเรียนก็อันดับต่อมา ที่ราชการต่างๆ ก็พอๆ กันกับเหล่านี้ ที่ราชการต่างๆ ช่วยไม่ใช่น้อยๆ  คำว่าที่ราชการมันแตกกระจายไปหลายแง่หลายแขนงเหมือนกัน อย่างเรือนจำอุดร หนองบัวลำภู สว่างแดนดิน อำเภอพล ที่ไหนบ้างที่ช่วย ที่ว่าเหล่านี้ไม่ช่วยน้อยๆ นะ เป็นล้านๆ ขึ้นไปทั้งนั้น เราก็จำไม่ได้ อุดรเป็นอันดับหนึ่งสำหรับเรือนจำ ช่วยหลายด้านหลายทาง สร้างตึกให้แล้วก็ยังที่หลับที่นอน ห้องน้ำห้องส้วม อันนี้ก็หลายล้าน อย่างนั้นละอุดรเป็นที่หนึ่งเกี่ยวกับเรื่องเรือนจำ ช่วยมาก

เราได้พยายามที่สุดแล้วที่ช่วยโลกช่วยสงสาร พูดถึงเรื่องสมบัติเงินทอง ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวตลอดมา มีก็มีเพื่อจะช่วยๆ อย่างนั้นแหละ ช่วยทุกแง่ทุกมุมที่จะช่วยได้ อันนี้มีความเมตตาครอบตลอดนะ ความเมตตามันเป็นเองอยู่กับจิตดวงนั้นแหละ ความเมตตากับจิตนั้นเหมือนหนึ่งว่าเป็นอันเดียวกัน อ่อนนิ่มไปเลย ท่านทั้งหลายก็ทราบแล้ว ได้มาเกี่ยวกับโลก ช่วยโลกมานานแล้ว เฉพาะอย่างยิ่ง ๖-๗ ปีนี้ ท่านทั้งหลายจะได้เห็นกิริยาอาการแสดงออกของหลวงตาบัว มีทุกแบบทุกฉบับ เหล่านี้มีเมตตาครอบทั้งนั้นนะ ไม่ได้มีพิษมีภัยเลย

บางทีดุด่าว่ากล่าวเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดอย่างนี้เขาว่าหยาบโลนหยาบเลน มีแต่แง่ของธรรมออกต่างๆ กัน แล้วเมตตาครอบๆ ที่จะมีจิตใจเคียดแค้นให้ใครเรียกว่าไม่มีเลย หัวใจไม่มีกิเลสเสียอย่างเดียว ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้เป็นกิเลส มันจะมาจากไหนเมื่อหัวใจไม่มี นั่น ทีนี้ก็มีแต่ความเมตตาล้วนๆ ช่วยโลก เราช่วยจริงๆ  อย่างที่เกี่ยวกับบ้านเมืองทุกวันนี้ ไม่พ้นแหละที่จะมาเกี่ยวข้องกับเราบ้านเมืองทุกวันนี้ เดี๋ยวเรื่องนั้นเดี๋ยวเรื่องนี้

ทำไมเราถึงได้เกี่ยว ก็ความสกปรกกับความสะอาดเป็นคู่เคียงกัน กิเลสเป็นความสกปรก ไม่มีอะไรเกินกิเลส ธรรมเป็นธรรมชาติที่สะอาด ไม่มีอะไรสะอาดเหนือธรรม นั่นมันก็เกี่ยวข้องกันอยู่อย่างนี้จะแยกกันออกได้ยังไง พอเห็นสกปรกก็ชะล้างกันไปๆ ผิดถูกชั่วดีเป็นยังไงในโลกนี้ ธรรมก็วินิจฉัยใคร่ครวญชี้แจงแสดงบอกเรื่อยๆ ไปอย่างนั้น มันก็มีอย่างนั้น การชี้แจงแสดงบอกต่างๆ ก็คือเอาน้ำที่สะอาดชะล้างสิ่งที่ผิดพลาดเป็นความสกปรก มันก็เกี่ยวโยงกันอยู่อย่างนี้

เพราะฉะนั้นศาสนากับโลกจึงแยกกันไม่ออก ถ้าโลกยังหวังสารคุณแก่ตนอยู่แล้ว ธรรมะนี้จะแยกไม่ออกเลย นอกจากคนหมดคุณค่าหมดราคาเสีย เป็นปทปรมะ เหมือนคนไข้ที่เข้าไปห้องไอซียู หมอจะวิเศษขนาดไหน ยาจะเลิศเลอขนาดไหน ก็ไม่มีความหมาย เพราะคนหมดความหมายแล้วอยู่ในห้องไอซียู อันนี้ธรรมจะเลิศเลอขนาดไหนก็ไม่มีความหมาย เพราะคนๆ นั้นหมดความหมายโดยสิ้นเชิงแล้ว เรียกว่าไม่ยอมรับธรรมเลย รอตั้งแต่ลมหายใจจะขาดถ้าเป็นคนไข้ คนเป็นอยู่นี้ก็รอตั้งแต่จะลงตูมเท่านั้น

เรื่องนรกอเวจีเราพูดจริงๆ คอขาดเรายอมรับเลย ว่านรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน มีหรือไม่มีนี้ หมอบราบเลยเทียว ยอมรับตามพระพุทธเจ้าทุกแง่ทุกแขนง รวมลงแล้วจึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่ว่าจะแง่ใดมุมใด พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสผิดพลาดไปเลย และหลอกลวงโลกไม่มี จึงว่าน้ำสะอาดสุดยอด กิเลสมีแต่เรื่องสกปรก มากน้อยเป็นเรื่องสกปรกทั้งนั้นถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้ว จึงต้องได้ชะได้ล้างตลอดเวลา หัวใจเรากับร่างกายเรานี้มันสกปรกตลอด

ร่างกายก็ต้องได้ชะล้างอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่เหรอ คนไปอยู่ที่ไหนจะขัดจะถูให้สะอาดสะอ้านขนาดไหน ถ้าลงได้คนเข้าไปนั่งไปนอนอยู่ในนั้นแล้วต้องชะต้องล้าง เพราะคนมันตัวสกปรก อะไรเข้ามาเกี่ยวข้องกับมนุษย์เราสกปรก ต้องชะต้องล้างต้องเช็ดต้องถู ต้องขัดต้องเกลาต้องทำความสะอาดตลอดเวลา บ้านเรือนทำสะอาดเพื่ออะไร ก็เพื่อของสกปรกในร่างกายของเรา มันไปที่ไหนกลิ้งไปไหนมันเหมือนมูตรเหมือนคูถในตัวของเรานี้ทุกคนๆ ต้องได้ชำระล้างๆ ตลอด

ทีนี้จิตเวลามันแสดงออกก็เหมือนกัน จิตก็สกปรกเต็มเหนี่ยวของมัน ความสกปรกของจิตเป็นพิษร้ายแรงมาก ไม่ได้เหมือนความสกปรกของร่างกายซึ่งมีด้วยกันทั้งท่านทั้งเรา แม้พระอรหันต์ก็มี ร่างกายอันนี้ท่านยอมรับ ต้องชะต้องล้างเหมือนกันกับโลก ผิดกันแต่จิตของท่านบริสุทธิ์แล้วกับใจของเราที่สกปรก ต่างกันตรงนี้ ใจของท่านไม่ต้องขัดต้องเกลาอะไรอีกแล้ว พอบรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาเท่านั้นหมดเรื่องมลทินทั้งหลาย รวมแล้วเรียกว่าสมมุติทั้งมวลขาดสะบั้นลงไป เหลือแต่วิมุตติหลุดพ้นเต็มหัวใจ จะทำอะไรให้เป็นอะไรอีกไม่เป็นแล้ว เรียกว่าพอสุดยอดแล้ว

จิตที่บริสุทธิ์พอสุดยอด ทีนี้เวลาแสดงออกกระจายออกไปเป็นความเมตตาสงสารหมดเลย ที่จะมีแย็บหนึ่งที่ว่าเป็นความเคียดแค้นให้คนนั้นคนนี้ ไม่พอใจคนนั้นคนนี้ไม่มี พูดไปตามธรรม แนะไปตามธรรม ผิดถูกชั่วดีหนักเบามากน้อย เป็นไปตามธรรมที่จะชำระล้างสิ่งต่างๆ ที่สกปรกทั้งมวลนั้นแหละ ธรรมเป็นธรรมชาติที่สะอาด เป็นอย่างนั้นเรื่องของธรรม ให้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

อย่างที่เราพูดอยู่ทุกวันนี้เหมือนกัน จนร่ำลือในประเทศไทยเรื่องการดุด่าว่ากล่าวเด็ดขาด หรือสกปรกโสมมอะไร มารวมอยู่ที่นี่หมด กิริยาอันนี้ออกไปชำระล้างสิ่งสกปรกทั้งนั้นนะ ที่ว่าหยาบโลนก็คือสิ่งเหล่านั้นหยาบโลน ธรรมะก็ต้องหนักใส่กันอย่างนั้น แต่ธรรมะไม่ได้หยาบโลน กิเลสมันมาต่อสู้กับธรรมต่างหาก ให้มันนอนจมเหมือนหมูอยู่ในตมในโคลนอย่างนั้นเขาชอบอย่างนั้น เราดึงขึ้นมาจากตมจากโคลนมันฟ่อๆ เลย เห่า กัด มันไม่อยากฟัง

ธรรมะที่จะว่าหยาบโลนตามโลกสมมุติไม่มี แต่กิริยาสำหรับตอบรับสิ่งสกปรกหนักเบามากน้อยมีตลอด จะแยกกันไม่ได้เลย ควรเด็ดก็เด็ด ควรดุก็ดุ สำคัญที่สุดเอาน้ำหนัก ธรรมะนี้เอาน้ำหนัก เช่นว่า สกปรกหรือหยาบโลน สิ่งนั้นเป็นยังไงมีน้ำหนักขนาดไหนรับกันมันถึงจะลงกันได้ แต่โลกสกปรกมันไม่ได้มองดูความสกปรกของมัน มันหึงหวงความสกปรก ธรรมะชะล้างลงไปมันเห่าฟ่อๆ เลย เหล่านี้ออกไปเป็นของสะอาดทั้งนั้นธรรมะที่ออกไป หัวใจที่สะอาดสุดยอดแล้ว ธรรมะที่กระจายออกไปจากหัวใจนี้จึงเป็นธรรมชาติที่สะอาดด้วยกัน

กิริยาของท่านผู้สิ้นสุดวิมุตติหลุดพ้นแล้วไม่มีภัยต่อโลก หมด ไม่มีเลย กิริยาอาการที่แสดงออกแบบใดก็ตาม เป็นเรื่องของธรรมแสดงออกเพื่อการชะล้าง ให้สิ่งสกปรกทั้งหลายมากน้อยนั้นสะอาดไปโดยลำดับลำดาเท่านั้น นอกนั้นไม่มี ธรรมท่านไม่มีความสกปรก บอกชัดๆ เลยว่าไม่มีความสกปรกของธรรม การแสดงออกนั้นแสดงออกตามเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะรับกันหนักเบามากน้อย ท่านแสดงออกตามสายธรรมที่เห็นว่าเหมาะสมแล้วจะลงในแง่ใดมุมใด ควรหนักหนัก ควรเบาเบา เป็นเรื่องของธรรมที่สะอาดล้วนๆ แล้วทั้งนั้นออกไปแสดง ท่านไม่มีคำว่าหยาบโลนๆ

ที่ออกไปจากธรรมที่สะอาดนี้จะเป็นความหยาบโลนไม่มี มีแต่ความสะอาดล้วนๆ หนักเบามากน้อย เหมือนเขาถากไม้ อย่างที่เคยพูดแล้ว เขาถากไม้มาทำเป็นต้นเสา ถ้าไม้ต้นใดเรียบๆ เขาก็ถากเรียบๆ ถ้ามีคดมีงอตรงไหนเขาก็หนักมือในการถาก ถากหนักถากเบาเพื่อจะเอาไม้เป็นต้นเสามาทำประโยชน์ เขาไม่ได้ถากให้เป็นความเสียหาย การแนะนำตักเตือนสั่งสอนไม่ว่าหนักเบามากน้อย เหมือนเขาถากไม้นั่นแหละ ควรหนักหนัก ควรเบาเบา

พระพุทธเจ้าท่านจึงแสดงไว้ว่า นิคฺคยฺห ปคฺคยฺห อย่างที่เขาออกทางนสพ.สยามรัฐไม่ใช่เหรอ นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ ธรรมะพระพุทธเจ้ามีทั้งการดุด่าว่ากล่าว มีทั้งการยกยอสรรเสริญ ธรรมะพระพุทธเจ้าเรานี่ออกเป็นพุทธภาษิตที่เขาออกในสยามรัฐ ทุกวันนี้มีหรือเปล่าก็ไม่รู้ นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ มีทั้งการตำหนิติเตียน มีทั้งการชมเชยสรรเสริญ คำว่าตำหนิติเตียนก็มีแง่หนักแง่เบาเหมือนกัน ควรหนักขนาดไหนหนักลงไปความตำหนิติเตียน ควรชมชมขนาดไหนชมเต็มเหนี่ยว นั่น นี่ละธรรมเป็นอย่างนั้น เวลาแปลออกแล้วนะ เราจะตำหนิติเตียนหรือข่มขู่สิ่งชั่วช้าหรือบุคคลที่ชั่วช้าลามกทั้งหลาย เราสรรเสริญผู้ที่ดี ดีขนาดไหนเราจะสรรเสริญตามขั้นภูมิแห่งความดีของผู้นั้น นั่นแปลออกนะ นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ

ธรรมะมีทั้งชมมีทั้งตำหนิ มีมาดั้งเดิม และสิ่งชั่วทั้งหลายก็มี สิ่งดีก็มี คนชั่วก็มีคนดีก็มี เพราะฉะนั้น นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ จึงไปด้วยกัน ควรตำหนิตำหนิ ควรชมชม ไปอย่างนั้น ชมก็ชมเพื่อส่งเสริมให้มีกำลังใจ ตำหนิก็ตำหนิเพื่อให้แก้ไขตัวเอ