สภาธรรมเกิดโลกสงบเย็น
วันที่ 20 พฤศจิกายน 2548 เวลา 8:25 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๘

สภาธรรมเกิดโลกสงบเย็น

ก่อนจังหัน

พระเรามากันเรื่อยๆ เปลี่ยนหน้ากันมาเรื่อยๆ ให้ตั้งใจศึกษานะ มาตาดูให้เป็นธรรมเป็นวินัย ดูเทียบเคียงกับหลักธรรมหลักวินัย เห็นอะไรได้ยินอะไร ความเคลื่อนไหวของตัวให้เทียบเคียงกับหลักธรรมหลักวินัยเสมอ นั่นละชื่อว่าผู้มีศาสดาประจำตน พากันตั้งใจปฏิบัติ เราไม่ให้ยุ่งอะไรนะสำหรับวัดป่าบ้านตาด งานภายนอกไม่ให้ยุ่ง ให้ยุ่งแต่งานภายในคือการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เพื่อชำระจิตใจ ใจเศร้าหมองมากเท่าไรความทุกข์มากเท่านั้นๆ อบรมจิตใจด้วยการภาวนาซักฟอกสิ่งเป็นฟืนเป็นไฟออกมากน้อยเพียงใด จิตใจจะสง่างาม ความสงบร่มเย็นจะปรากฏขึ้น

ไม่ต้องไปหาที่ไหนละไอ้เรื่องความสุข หาที่ใจ ความทุกข์ก็อยู่ที่ใจเพราะกิเลสบีบบี้สีไฟอยู่ที่ใจ ธรรมะชำระล้างใจก็สะอาดขึ้นมาและสงบร่มเย็นผ่องใสสง่างาม พระเรามีหน้าที่อย่างนี้นะให้จำ นี่ละหลักพุทธศาสนาจริงๆ งานของพระเราคือการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ด้วยความมีสติประจำตนตลอดไปเลย สติพรากไม่ได้นะ จากนั้นก็ปัญญาแย็บๆ แนบกันไป แต่สตินี้ติดแนบตลอดเวลา นี่ละงานของพระ

ท่านผู้ทรงมรรคผลนิพพาน เช่น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา เป็นพระที่มีสติ เป็นพระที่มีความสำรวม ตั้งแต่สำรวมใจลงไป ใจคิดเรื่องอะไรถ้าไม่ดีตีปั๊บๆ ไม่ให้คิด นั่นท่านระวังท่าน ความเคลื่อนไหวที่ไหนๆ ให้มีสติติดๆ แล้วจะได้เหตุได้ผลมาทุกระยะที่สัมผัสสิ่งต่างๆ ถ้าไม่มีสติแล้วจะไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร จำให้ดีนะคำนี้

เราไม่ได้โอ้ได้อวด เราผ่านมาแล้วทั้งนั้นที่ได้มาสอนนี้ และได้ผลเป็นที่พอใจมาจากวิธีการเหล่านี้แหละ จึงได้นำมาสอนพระลูกพระหลานทั้งหลาย อย่าสักแต่ว่าไปสักแต่ว่ามาใช้ไม่ได้นะ เวลานี้พระเราเลอะเทอะมาก รวมไปหมดทั้งประเทศไทยของเรา ไม่ว่าท่านว่าเราพอๆ กัน ดูตัวเองก็หาสาระไม่ได้ กิริยาที่แสดงออกไปมีแต่การทำลายตัวเองด้วยความไม่มีสติปัญญา จากนั้นเป็นความคึกคะนองภายในจิตใจ เป็นกิเลสล้วนๆ ออกแสดงตีตลาดแล้วดูไม่ได้นะพระเรา

ในตลาดเขามีแต่กระดูกหมูกระดูกวัว เขาไม่ได้มีกระดูกพระที่เซ่อซ่าๆ ไม่เอาไหน เลวที่สุดแล้วเขาเอาไปเข้าตลาด ไม่มีใครซื้อนะกระดูกพระเราที่ปฏิบัติตัวเลวร้ายๆ ไปเข้าตลาดไม่มีใครซื้อ ไม่เหมือนกระดูกหมูกระดูกวัวนะ ไปที่ไหนเขาซื้อขายกันทั่วตลาดๆ แต่กระดูกพระที่ทำตัวเหลวแหลกแหวกแนว เอาไปขายที่ตลาดไม่มีใครซื้อ ให้ดูตัวเองให้มีคุณค่าซิ พระเรามีคุณค่าอยู่กับศีลสมบัติ ศีลบริสุทธิ์เต็มที่ สมาธิสมบัติ ความสำรวมระวังตนจนเป็นความสงบแน่นหนามั่นคงทางด้านจิตใจ จิตไม่หวั่นไหวยอกแยกคลอนแคลน นั่นเรียกว่าจิตมีสมาธิสมบัติ จากนั้นก็เป็นปัญญาสมบัติ พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ภายในภายนอกตลอดทั่วถึง ด้วยความเป็นอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนตฺตา นี่ติดอยู่กับใจ นี่ละงานของใจให้พากันพิจารณาเอานะ

งานตั้งสติเป็นงานพื้นฐาน งานจะทำใจให้สงบมีสติเป็นสำคัญ สงบร่มเย็นภายในใจ จิตเป็นสมาธิ จากนั้นก็เป็นปัญญา งานของปัญญานี้จะคลี่คลายสิ่งต่างๆ ให้รู้แจ้งกระจายไปหมด เรื่องปัญญาไม่มีสิ้นสุด ขอให้ปัญญาได้ก้าวเดินเถอะ เวลานี้มันหมอบคลานนะ ให้ปัญญาพาก้าวเดิน พอปัญญาก้าวเดินอะไรมันจะซอกแซกๆ รู้เห็นไปๆ กิเลสภายในก็ขาดออกไปๆ เรื่อย ภายนอกก็เป็นธรรมๆ ไปหมด ให้จำให้ดีนะคำพูดเหล่านี้ ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ

อย่าไปสนใจกับอะไรโลกอันนี้ โลกสกปรกโสมม ตัวเราก็สกปรกโสมม ร่างกายของเรามันมีสะอาดที่ไหนทั้งเขาทั้งเรา ให้สะอาดอยู่กับจิตใจ จิตใจอยู่ภายในสง่างาม อยู่ในท่ามกลางแห่งความสกปรก นั่นละสง่างามอยู่ภายใน เอาอันนี้ให้ดีนะ ศีลสมบัติ สมาธิสมบัติ ปัญญาสมบัติ จากนั้นก็วิมุตติสมบัติเรื่อยไปเลย นี่งานของพระ ผลที่จะได้ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุตติ อยู่ที่ใจของพระเรา ให้ตั้งใจปฏิบัติ อย่าให้มีแต่ผ้าเหลืองคลุมหัวโล้นเฉยๆ ดูไม่ได้นะ เอาผ้าเหลืองพระพุทธเจ้ามาจำหน่ายขายกินว่าตัวเป็นพระๆ ภายในมันคืออะไร มันมีแต่มูตรแต่คูถหาความดีงามไม่มี อย่าให้มีสิ่งเหล่านี้ภายในใจ ให้มีแต่อรรถแต่ธรรม ตั้งใจปฏิบัติให้ดี

ผมให้โอกาสตลอดมาสำหรับพระทั้งหลายที่อยู่วัดป่าบ้านตาด ผมไม่ไปแตะต้องนะ ที่จะให้มาทำงานนั้นทำงานนี้ยุ่งนั้นยุ่งนี้ไม่ให้มา นอกจากเป็นงานจำเป็นจริงๆ ก็ให้รวมกันทำสักชั่วระยะกาล จากนั้นก็เข้าสู่ความเพียรอันเป็นงานที่แท้จริงของตน คือ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา การอยู่การกินใช้สอยไม่มีปัญหาอะไรเลยสำหรับผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรม มีอะไรๆ กินได้ใช้ได้ทั้งนั้น ไม่ยุ่ง นี่คือผู้มุ่งธรรม ธรรมอยู่ภายในจิตใจมุ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นของสำคัญมาก จึงไม่ยุ่งกับสิ่งภายนอกอะไรทั้งนั้น พากันตั้งใจปฏิบัติ

การอยู่ด้วยกันอาจมีความกระทบกระเทือนทางสายหูสายตาแล้วก็เข้าสู่ใจ ให้เกิดความหงุดหงิด ไม่พอใจในองค์นั้น ไม่พอใจในองค์นี้ อย่างนี้เป็นกิเลสทั้งนั้น ให้รีบดูตัวใจของเรานี้มันไปคึกไปคะนอง ไปหาเพ่งโทษเพ่งกรณ์เขา โทษของตัวเองเต็มหัวใจไม่ดู ให้ย้อนเข้ามาดูตรงนี้ แล้วต่างองค์จะมีความผาสุกเย็นใจ ถ้าต่างคนต่างดูตัวเองที่เป็นมหาพาลมหาโจรอยู่ในใจ มันออกทางโน้นออกทางนี้ ฉกลักปล้นจี้อยู่กับใจนี้ทั้งนั้น มันฉกมันลักไม่ให้ใครรู้นะ ไปเห็นเขายกโทษเขา ยกโทษยกกรณ์ เจ้าของโทษเต็มตัวมันไม่ดู ให้ดูตรงนี้นะ

นักปฏิบัติต้องดูตัวเอง แล้วจะไม่มีกระทบกระเทือนกับผู้ใด เพราะต่างคนต่างดูตัวเองที่เป็นมหาโจร จะออกฉกออกลัก เพ่งโทษเพ่งกรณ์คนนั้นคนนี้ ตำหนิคนนั้นคนนี้ นี่มหาโจรมันเป็นอยู่ภายใน ให้ระวังให้ดีไม่ว่าทางไหน นี่สอนธรรมสอนโดยตรง ธรรมอยู่ท่ามกลางให้ฟังทุกคน มีหูทุกคน มีใจทุกคน ให้นำไปปฏิบัติ ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่เคยครึไม่เคยล้าสมัยตั้งกัปตั้งกัลป์ใดมาจนกระทั่งป่านนี้ แต่กิเลสนี้ตัวเป็นภัย เรียกว่าตัวครึตัวล้าสมัยที่สุด แต่โลกหมอบกับมันกราบกับมัน เพราะฉะนั้นจึงได้รับความเดือดร้อนตลอดมา เพราะกิเลสไม่เคยทำใครให้มีความสงบร่มเย็นเลย มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ มีมากมีน้อยเผาไหม้ตลอดไป ให้ทุกๆ ท่านจำเอาให้ดี

ตั้งใจมาปฏิบัติให้สังเกตสังกา ความพร้อมเพรียงสามัคคีเป็นพื้นฐานของพระเราด้วย เป็นพื้นฐานของวัดนี้ด้วย ให้ช่วยกันทุกสิ่งทุกอย่าง เรียกว่าความสามัคคีนี้แสดงน้ำใจต่อกัน ให้เป็นความสวยงาม เป็นความสงบร่มเย็น จำให้ดี ความสามัคคี จะทำงานทำการปัดกวาดเช็ดถูอะไรก็ตาม เรียกว่าเป็นงานสามัคคีแล้วให้ต่างคนต่างพร้อมเพรียงกัน อันนี้ก็เคยเรียบร้อยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร สำหรับวัดป่าบ้านตาดไม่เคยได้ต้องติ แต่ทีนี้มาใหม่เรื่อยๆ จึงต้องได้แสดงให้ฟัง ถ้าหากว่ามีแต่พระเก่าก็ไม่จำเป็น เพราะท่านเคยของท่านอยู่แล้ว นี่มีพระใหม่มาเก้งๆ ก้างๆ ต้องได้เตือนกันเสมอเรื่องความพร้อมเพรียงสามัคคี ให้ดูตัวอย่างของผู้ที่อยู่ก่อนแล้ว ให้รีบจัดรีบทำทุกสิ่งทุกอย่าง

เคลื่อนไหวไปไหนสติอย่าปล่อยนะ สติเป็นสำคัญ จากนั้นเข้าสู่ความเพียร สติจับติดๆ กับใจ กิเลสจะเกิดไม่ได้ ถ้าลงสติครอบอยู่หัวใจ กิเลสเท่าภูเขาเข้าไม่ได้นะ สติเป็นสำคัญที่จะต้านทานกิเลสได้ พอเผลอสติเมื่อไรกิเลสออกแล้ว ออกไปกว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวเอง วันนี้ภาวนาไม่สงบ จะสงบอะไรมันไปหากินอยู่ข้างนอก มีแต่กินมูตรกินคูถ เอาฟืนเอาไฟมาเผาเจ้าของ มันจะหาความสงบได้ยังไงจิตไม่มีสติ จำให้ดี เอาละให้พร

หลังจังหัน

(ผู้ว่าชัยพรฝันถึงยายที่ตายไปแล้วครับ) จะเป็นอะไร เวลาหลับมันก็เป็นฝัน เวลาหลับเกิดเรื่องเกิดราวอะไร เป็นเรื่องเป็นราวในเวลาหลับ เขาเรียกว่าฝัน ทีนี้ฝันอีกอันหนึ่งนั้นฝันทุกคน อย่างนั่งอยู่นี้ก็ฝัน ต่างคนต่างฝัน นั่งอยู่นี้คิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ยุ่งไปหมด นี่ฝันสด เวลาหลับฝันแห้ง ฝันไปอย่างนั้นละ พอตื่นขึ้นมาเราก็รู้เสียว่าฝันก็หายกังวลไป ถ้าผู้ไปติดกับความฝันแล้วเกิดกังวล ความฝันก็ทำให้เกิดโทษได้ ถ้ารู้ว่าฝันเท่านั้นก็แล้วกันไปเลย ส่วนฝันสดนั่งอยู่นี้ก็ฝันเหล่านี้ ไม่ใช่คนตาย ฝันนั้นฝันนี้จิปาถะอยู่ด้วยกัน คลังฝันอยู่นี้หมด ฝันสดคิดปรุงคิดแต่งเรื่องนั้นเรื่องนี้ นี่ละสังขาร สังขารอันนี้เป็นสมุทัย สังขารของกิเลสมันพาปรุงพาแต่งไปเรื่อยๆ นี่คือกิเลสเอาสังขารนี้ทำงาน ความคิดธรรมดาไม่เป็นกิเลส มีเครื่องหนุนเข้ามาเรียกว่ากิเลสมันคิดปรุง

เป็นรักเป็นชังกับใครกับผู้ใดเรื่องใด มันจะไปติดไปพันไปเสริมตรงนั้นอยู่ตลอด นั่นเรียกว่ากิเลส กิเลสมีแต่คอยเสริม รักก็เสริมให้คิดตลอด ชังก็เสริมให้คิดตลอด โกรธ เคียดแค้น เสริมทั้งนั้น ให้คิดตลอด ไม่ได้เห็นโทษของมันคือกิเลสอยู่ภายใน เป็นอย่างนั้นละ กิเลสให้คิดแล้วเสริมไปเรื่อยๆ นี่ท่านเรียกว่าสังขารที่เป็นสมุทัย ความคิดนี้เป็นกิเลส เพราะกิเลสดันออกมาให้คิด สังขารอันนั้นเป็นเครื่องมือของกิเลสดันให้คิดให้ปรุง

คือได้ดูเรื่องราวเสียพอแล้วมันก็รู้เรื่องกัน ธรรมดาไม่ได้คิดได้ปรุงอยู่ไม่ได้ ต้องคิดต้องปรุง โลกทั้งหลายไปด้วยความคิดความปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันหากชักหากจูงให้อยากไปที่นั่นให้อยากไปที่นี่ ไปดูบ้านนั้นเมืองนี้ ไปชมที่นั่นที่นี่ คือความคิดปรุงดึงไป พาไปๆ นี่เรียกว่าความคิดที่เป็นสมุทัย กิเลสทำงานอย่างนี้ตลอดเวลา เรียกว่าทำงานโดยอัตโนมัติของกิเลส มองเห็นอะไรได้ยินอะไรปั๊บ กิเลสจะปรุงเรื่อยไปเลย และเป็นอารมณ์ไปเรื่อยๆ  เรียกว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติของมัน แล้วสัตว์ทั้งหลายก็ไม่รู้ บืนไปตามมัน เพลินไปตามมัน นี่หมายถึงจิตใจทั่วๆ ไป

ทีนี้จิตใจของท่านผู้ชำระซักฟอกจนกระทั่งถึงขั้นบริสุทธิ์ อ่านความคิดนี้ได้หมดเลย รู้เท่าทันหมด ที่มันเคยคิดมายังไงๆ รู้เท่าทันต้นตอของมัน ก็คือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาหนุนให้คิดให้ปรุงตลอดเวลา ทีนี้เวลาอวิชชาดับพรึบลงไปนี้ ความคิดเหล่านี้กลายเป็นขันธ์ล้วนๆ เป็นสังขารล้วนๆ ขันธ์แปลว่ากอง แปลว่าหมวด เลยเป็นขันธ์ล้วนๆ ไปไม่ได้เป็นภัย ท่านจึงเรียกว่าขันธ์ของพระอรหันต์เป็นขันธ์ล้วนๆ มันคิดอะไรเป็นอัตโนมัติของขันธ์เหมือนกันนะ

คือเวลามีกิเลส กิเลสก็พาขันธ์หมุนคิดเป็นอัตโนมัติของกิเลส ทีนี้มีแต่ขันธ์ล้วนๆ มันก็คิดเป็นอัตโนมัติของขันธ์ล้วนๆ เหมือนกัน นั่นเป็นชั้นๆ นะ คิดไปอย่างนั้นละไม่เกิดโทษเกิดภัยอะไร มันหากคิดของมันตามนิสัยของมัน ของขันธ์อันนี้ที่เป็นเรื่องคิดมันก็คิดของมัน เวลามีกิเลสเข้าหนุนก็คิดไปทางกิเลสไปหมด เวลากิเลสสิ้นไปหมดแล้ว ขันธ์เป็นขันธ์ล้วนๆ มันก็คิดของมัน แต่ไม่เป็นภัย ต่างกันอย่างนี้นะ ท่านจึงเรียกว่าขันธ์ล้วนๆ ขันธ์เต็มไปด้วยกิเลสก็มี ขันธ์ล้วนๆ ก็มี มันคิดเหมือนกันแต่ไม่เป็นภัย ขันธ์ของพระอรหันต์ไม่เป็นภัย ความคิดของพระอรหันต์ไม่เป็นภัย คิดธรรมดาๆ ไปอย่างนั้น

อย่างนี้เคยมีใครพูดไหมนี่ ไม่มี บอกตรงๆ เลย นี่อ่านกันตลอดหมดแล้ว รู้ทั่วถึงหมดแล้วถึงนำมาพูด เตสํ วูปสโม สุโข ความระงับด