กิเลสทำจิตให้อาภัพ
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา 9:00 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๙

กิเลสทำจิตให้อาภัพ

ก่อนจังหัน

พระเราไม่มีงานอะไรนอกจากงานชำระกิเลสด้วยสติปัญญาเป็นสำคัญ อย่าเอางานอื่นมายุ่มมาย่ามมาหาช่องทาง เรื่องของกิเลสเข้าเหยียบหัวใจพระน่ะ เดี๋ยวงานนั้นเดี๋ยวงานนี้ งานแก้กิเลสไม่ดูไม่ได้นะ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา กิริยาท่าทางใดๆ ก็ตามสติปัญญาติดแนบ สติเป็นพื้นฐานให้ติด ถ้าสติติดกับจิตอยู่ตลอดเวลากิเลสจะไม่เกิดตลอดเวลา มันจะหมอบของมัน แม้จะมีอยู่ก็ไม่แสดงตัว ถ้าเผลอสติเมื่อไรเท่ากับเปิดประตูให้มันเข้าออกๆ ได้สะดวกสบาย ให้พากันหนักในทางความพากเพียรพระเรา พากเพียรที่ว่านี่ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา อย่าได้เว้นได้ว่าง กิเลสไม่เว้นไม่ว่างอยู่ในหัวใจ แสดงตัวตลอดเวลา ธรรมะเป็นเครื่องแก้กิเลสมีแต่วันว่างๆ ว่างให้กิเลสเข้าไปเหยียบหัวใจ เอาให้ดีนักปฏิบัติ

เดี๋ยวนี้ศาสนาพระพุทธเจ้าจะไม่มีเหลือแล้ว มีเหลืออยู่ในคัมภีร์ใบลาน จากนั้นก็มาเป็นเครื่องหมายผ้าเหลืองคลุมหัวโล้นพระ พระจริงๆ ไม่มีศีลมีธรรม ทุกวันนี้อยากพูดอย่างนั้นเลย จะไม่มีศีลมีธรรม มีแต่หัวโล้นผ้าเหลืองเท่านั้น ศีลธรรมภายในจิตใจเป็นเครื่องหมายของพระนี่จะไม่มี เลอะขนาดนั้นละศาสนาเราทุกวันนี้ ใครทำให้เลอะ ก็พวกเรานี่แหละที่นั่งกันอยู่นี่ฟังอยู่นี่ทำศาสนาให้เลอะ แล้วทำยังไงศาสนาจะไม่เลอะ ศาสนาจะสะอาดสะอ้าน วิธีการชำระสะสางก็ได้สอนแล้วทุกแบบทุกฉบับ ให้ตั้งอกตั้งใจ

วัดป่าบ้านตาดนี้ไม่มีงานอะไรยุ่งนะ สำหรับพระผมไม่เข้าไปยุ่ง เพราะผมถือว่างานการประกอบความพากเพียรเป็นงานอันใหญ่โตมากสำหรับพระเรา และในวัดนี้ก็ถืออย่างนั้นตลอดมา ไม่ให้งานอะไรเข้ามายุ่ง งานยุ่งเหล่านั้นมีแต่งานของกิเลส งานนั้นงานนี้ งานอะไรงานสั่งสมกิเลส งานแก้กิเลสไม่เห็นมีกัน เอาให้ดีซี มรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน อยู่กับความขี้เกียจขี้คร้านเหรอ นั่นคือกิเลสอยู่ที่นั่น เกิดที่นั่น เจริญที่นั่น ธรรมะจะเกิดขึ้นได้ด้วยอำนาจของความพากเพียร ให้พากันตั้งใจ

นี้มาเรื่อยๆ เข้าออกเรื่อยๆ ผมก็ไม่ค่อยมีเวลาจะแนะนำสั่งสอนพระเณร พระตั้งแต่อายุ ๘๐ ปีมานี้ไม่ค่อยจะได้สอนเป็นเนื้อเป็นหนังเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนเอาจริงเอาจัง อาทิตย์หนึ่งบ้าง หรือ ๑๐ วันบ้าง เป็นประจำตลอดมา ไม่ละเว้นในการอบรมสั่งสอนพระ ตั้งแต่อายุก้าวเข้า ๘๐ ปีแล้วก็หยุด จากนั้นก็มีงานทางโลกเข้ามา โดยไม่คาดไม่คิดว่าจะได้ช่วยโลกเต็มกำลังความสามารถจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ก็ได้คิดได้ทำแล้ว ทีนี้งานสอนพระก็ไม่ค่อยมี พระให้สอนตนเอง ตั้งใจปฏิบัติให้ดี

สำหรับวัดป่าบ้านตาด อาหารรู้สึกว่าล้นเหลือจริงๆ อันนี้เราก็เชื่อในพระอยู่แล้ว พระท่านไม่หลง หลงรสหลงชาติอะไรท่านไม่หลง แต่เสริมเข้าไป อย่าหลง ไม่หลงก็อย่าหลง ไม่เป็นของดีการหลงรสหลงชาติ หลงสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นโลกามิสนั้นทำให้เสียได้ง่าย ถึงไม่หลงก็ย้ำเข้าไปอีกว่าอย่าหลง ว่างั้นเลย ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ได้ทรงมรรคทรงผล พระเราทรงมรรคทรงผลไม่ได้แล้วหมดพุทธศาสนาของเรา พระนี้เป็นแนวหน้าทีเดียว ท่านสอนไว้ทุกแบบทุกฉบับ นี่เรียนมาจนเต็มหัวใจ จะว่าคุยหรือไม่คุยก็ตาม เรียนจริงๆ แต่ไม่ใช่เรียนหาชั้นหาภูมิอะไรนัก เรียนเพื่อความเข้าใจจะได้นำไปประพฤติปฏิบัติ

ท่านสอนที่ตรงไหนมีแต่เรื่องเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า อยู่สถานที่นั่นเป็นยังไง นั่น อยู่ในป่านั้นเขาลูกนั้นเป็นยังไงความพากเพียร เข้าตรงนั้นนะ ท่านไม่ได้เห็นว่าเป็นยังไงโบสถ์เสร็จแล้วกี่หลังในวัดนั้นน่ะ ศาลาได้สักกี่หลังแล้ว ยศได้สักกี่พัดแล้ว ท่านไม่เห็นถามอย่างนั้น ยศของพระคือศีลคือธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุตติ นี้คือยศของพระ ประดับนี้แล้วไปไหนเย็นหมด ไม่ต้องไปหายศที่ไหนมาละน่ะ ขอให้ได้ธรรมตามพระพุทธเจ้าประทานไว้แล้วนี้ นี่ยศเลิศยศเลออยู่ที่ธรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้ทุกอย่าง เหล่านั้นมาตั้งกันอย่างนั้นละ ไปหาเกาในที่ไม่คัน แล้วถือเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นของจริงจังขึ้นไปแล้วเวลานี้

ไปที่ไหนแบกพัดไป อาตมาได้ชั้นนั้นชั้นนี้ พัดหีพ่อหีแม่มันอะไรสำหรับพระเรา มันสมควรที่ไหน ดูหัวใจเจ้าของซิอะไรอยู่ที่นั่น มหาเหตุๆ เคยสอนแล้ว ไปหาเกาทำไมในที่ไม่คัน เกาตรงที่มันคันนั่นซิ หมาเกาหมัดเห็นไหมเขาเกาที่มันคัน พระเราเกาหมัดเกาที่ตรงไหน เกาหมดทั้งตัว เห็นที่ไหนมองที่ไหนเห็นแต่หมาเกาหมัด หมัดคืออะไร คือกิเลส หมาเกาหมัดคือหาดิ้นในสิ่งที่ไม่ให้ทำ ธรรมท่านไม่ชมเชย ตรงไหนที่ธรรมท่านชมเชยท่านให้ทำ ไม่เกานะตรงนั้น ไปที่ไหนจึงถลอกปอกเปิก ที่ดีๆ ก็ไปหาเกาให้ถลอกปอกเปิกขึ้นมา พวกนี้สู้หมาขี้เรื้อนไม่ได้ หมาขี้เรื้อนเขาเกาที่คัน พระเรานี้เกาดะไปเลย แล้วมองดูพระทั้งองค์เป็นหมาขี้เรื้อนหาขนก็ไม่มี นอกจากผมบนหัวเท่านั้น มองไปแล้วเห็นแต่ผมบนหัว เอาให้ดี ตั้งใจปฏิบัติให้ดี

ธรรมะมรรคผลนิพพานสดๆ ร้อนๆ อยู่กับธรรมของพระพุทธเจ้า ให้นำมาประดับตน ให้ได้เห็นอรรถเห็นธรรมซิ พูดแต่ครั้งโน้นครั้งนี้ ครั้งไหนท่านทำก็ได้ผลละซี เราไม่ทำพูดไปเกิดประโยชน์อะไร กิเลสอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่หัวใจ ไม่ได้อยู่สมัยนั้นสมัยนี้ กาลนั้นเวลานี้ กิเลสอยู่ที่หัวใจ ธรรมก็อยู่ที่หัวใจเหมือนกัน ฟัดลงไปตรงนั้นให้มันเห็นซิน่ะ พระพุทธเจ้าหลอกโลกเคยมีหรือ ไม่มี มีแต่กิเลสละหลอกโลก ไปที่ไหนเห็นแต่กิเลสหลอกโลกหลอกสัตว์ มันไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตายไม่เข็ดไม่หลาบ คือกิเลสหลอกสัตว์โลกนั่นละ

เอาให้จริงให้จังนะการประพฤติปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่าง ให้มองดูหัวใจตนเองยิ่งกว่าจะมองดูผู้อื่นผู้ใด ไปที่ไหนดูหัวใจตนเอง มองเห็นคนนั้นไม่ดีเขาไม่ดี เป็นยังไงเรา ถามเราซิ อย่าไปยกโทษคนนั้นไม่ดี ไปที่ไหนยกโทษที่นั่นๆ คนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ตัวนี้ตัวหมาขี้เรื้อนหาเห่านั้นเห่านี้ไป ตัวไม่ดีไม่เห็นสนใจดู เสียตรงนี้นะ นักปฏิบัติต้องดูหัวใจตนเอง เรื่องราวอยู่กับตัวเอง มันแย็บออกตรงไหนดูมัน ทางดีทางชั่วจะออกจากหัวใจ ถ้าสติมีอยู่แล้วจะรู้กันทันที แก้กันทันที ปัดกันทันที แล้วความดีก็ค่อยเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา จำให้ดีนะ เอาละพอ ให้พร

หลังจังหัน

สรุปทองคำน้ำไหลซึมถึงวันที่ ๒๖ กุมภา เมื่อวานนี้ ทองคำที่หลอมแล้วได้ ๒๒๕ กิโล ๑๘ แท่ง ทองคำที่ยังไม่ได้หลอม ๒๒ กิโล ๑๑ บาท ๕๘ สตางค์ ทองคำที่หลอมแล้วและยังไม่ได้หลอม ๒๔๗ กิโล ๑๑ บาท ๕๘ สตางค์ ถ้ารวมกับ ๓๗ กิโลครึ่งที่มอบแล้วนั้นได้ทองเศษจาก ๑๑ ตันไป ๒๘๔ กิโล ๔๔ บาท ๔๗ สตางค์

(ชาวจังหวัดตราดและคณะศรัทธาจากชิคาโก ขออนุญาตสร้างสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน จังหวัดตราด โดยเป็นสถานีลูกข่ายของสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี ร้อยเปอร์เซ็นต์ ขณะนี้กำลังก่อสร้าง และขอถวายไว้เป็นสมบัติของสงฆ์วัดป่าบ้านตาด) พูดถึงเรื่องจังหวัดตราดมันน่าคิดอยู่มากนะ เราจำพรรษาที่สถานีทดลอง เราพิจารณาอะไรลงตัวแล้วก็จะไปจังหวัดตราดวันนั้นตอนเที่ยงวัน แต่ก่อนรถไม่ค่อยมี มีรถสองบริษัท ถ้าไม่ได้ไปนั้นแล้วก็ไม่มีรถ ทีนี้ไปก็สรุปเลยนะ เที่ยงวันเราออกเดินทาง โยมหริ่งที่จังหวัดตราดคนหนึ่ง ผู้หญิง ชื่อจันทร์ อำเภอแหลมสิงห์มีอีกคนหนึ่ง เป็นลูกศิษย์ทั้งสองนั่นแหละ

โยมหริ่งแกอยู่จังหวัดตราด สร้างวัดอยู่ที่อะไรเราลืมชื่อเสีย เหมือนว่าเป็นเกาะ กลางทุ่งนาแล้วเป็นเกาะใหญ่ เป็นดง เขาปลูกยางเต็ม เขาถวายให้อาจารย์เฟื่องเป็นทำเลสร้างวัด แต่จะสร้างหรือไม่สร้างก็ตามแต่ท่านเฟื่องได้อยู่ที่นั่นแล้ว โยมหริ่งก็ไปอยู่ที่นั่นด้วย อยู่ๆ นิสัยแกไม่ชอบพูดแหละ เฉย ไม่ชอบพูด แต่ความรู้ภายในสำคัญนะ นี่ละที่สำคัญ ใครก็ว่าแกเป็นบ้าจะรุมตีแกว่างั้น คือแกปุบปับๆ มาบอกเลย นี่ท่านพ่อมหาบัวกำลังออกเดินทาง เวลานี้ออกจากสถานี(ทดลอง) แล้วจะมาที่นี่ เหอ โยมหริ่งเป็นบ้าหรือ เป็นบ้ายังไงท่านกำลังเตรียมมานี่ว่างั้น เอาละวันนี้ถ้าหากว่าไม่จริงแล้วโยมหริ่งต้องตาย

จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามท่านขึ้นรถมาแล้ว แกพูดอย่างขึงขังตึงตัง เที่ยงกว่าแหละเราออกเดินทาง พอบ่าย ๔ โมงเราก็เข้าไปนั้น พอเข้าไปแล้ว โอ๊ย ใช่จริงๆ ผู้นั้นก็พูดผู้นี้ก็พูด โอ๊ย แกพูดจริงจริงๆ มันจริงอะไรเราว่า ก็โยมหริ่งแกผึงผังออกมาจากที่พักอุบาสิกามาที่ศาลาพระฉัน ซึ่งไม่ใช่เวลา แล้วแสดงอาการลุกลี้ลุกลน ทางนี้ก็ว่าโยมหริ่งเป็นบ้าหรือ บ้ายังไงท่านกำลังมาแล้วเดี๋ยวนี้ นั่นเห็นไหม แน่ไหมล่ะ แกไม่สนใจกับใครเลย นี่ออกเดินทางมาแล้วเดี๋ยวนี้ว่างั้น ใครก็ว่า เอา ถ้าอย่างนั้นเอาโยมหริ่งเป็นตัวประกัน ถ้าไม่จริงแล้วฆ่าโยมหริ่งเลย

พอบ่าย ๔ โมงเสียงเอะอะขึ้นอีกแล้ว โอ๊ย ใช่แล้วๆ เราก็ไม่รู้เรื่องมันใช่เรื่องอะไร ก็โยมหริ่งมาบอกตอนเที่ยงกว่าๆ ว่า ท่านพ่อมหาบัวกำลังออกเดินทาง แกเรียกเราท่านพ่อ เป็นอย่างนั้นละเห็นไหมล่ะ ทีนี้เวลาเรามาถึงแล้วบอกให้แกมา แกไม่กล้ามาแกกลัว แกกลัวมาตลอดกลัวเรา แกว่าอะไรนี้แน่นอนๆ อีกคนหนึ่งโยมทองแดง จิตใจดีเหมือนกัน ทางตราดก็มีคนหนึ่งผู้หญิง แล้วที่จันท์ สถานีทดลองที่เราพัก อำเภอแหลมสิงห์ ห่างจากวัดไปกิโลกว่า บ้านแกอยู่กลางทุ่งนามีสองหลังสามหลัง แกอยู่กระต๊อบกับลูกคนหนึ่ง คนนี้ก็เหมือนกันจะปากเปราะสักหน่อย คนนั้นหนักปากไม่ค่อยพูด

เรากำลังเย็บผ้าอยู่ระเบียงกุฏิเรา แล้วโยมทองแดงกับโยมหริ่งนี้ไป เรากำลังเย็บผ้าอยู่ แกไปสองคน เราเย็บผ้าอยู่กับพระ มาอะไร ไม่ใช่เวล่ำเวลามากวนหาอะไร เขาก็นิ่งแล้วก็นั่งอยู่นั้น เราก็เย็บผ้าเฉย มีธุระอะไรถึงมานี่ เขาก็นิ่ง จากนั้นเราไม่พูดอะไรอีก ก็เย็บผ้าของเราเรื่อย อยู่ๆ แกก็กราบแล้วลงไปพักทั้งสองคน คนหนึ่งปากเปราะ คนหนึ่งหนักปาก อยู่ๆ คนที่หนักปากหัวเราะคิกๆ ขึ้นมา คนปากเปราะก็ว่า หัว(เราะ)อะไรน้า ว่าจะไปดูหลวงพ่อมหาบัว ท่านจ้อเราอยู่นี้ว่างั้น เราอยู่ไม่ได้ มองไปทีไหนท่านจ้ออยู่นี้แล้ว ทางเย็บผ้าท่านเย็บแต่จิตท่านจ้ออยู่นี้ แล้วอยู่ได้ยังไงเดี๋ยวท่านขนาบเอา เลยลงมา หัวเราะขบขันที่ว่าจะไปดูท่าน ที่ไหนได้ท่านดูเราอยู่แล้ว เลยลงมาแล้วหัวเราะกึกๆ นี้หนักปากหัวเราะ

แกกลัวมากกลัวเรา ลงเต็มที่กับเรา ยอมทุกอย่างเลย โยมทองแดงก็เหมือนกัน ที่ว่าปากเปราะก็คือว่า ตอนบิณฑบาตมา เราไปสายสถานีสายใกล้กว่าเพื่อน หมู่เพื่อนไปหมู่บ้านนั้นหมู่บ้านนี้แถวคงแถวคลองไปหลายสาย ไปแห่งละสององค์บ้างอะไรบ้าง เราไปสายสถานีสององค์กับพระ เวลาเรามาแกนั่งอยู่ ศาลาก็อย่างว่าแหละศาลากรรมฐาน ทำพออยู่ได้เท่านั้น พอเห็นเราไป นี่ละที่เรียกว่าปากเปราะ พอเราเดินเข้ามา โห ดูท่านอาจารย์นี่รัศมีรอบตัวมาเลย สว่างจ้ามาหมดเลยมานี่ รัศมีสะหมาอะไรปากเปราะ เดี๋ยวตีปากเอานะ เลยเงียบเลย นั่นน่ะมันปากเปราะ รัศมี รัศมีสะหมาอะไรจะตีปากเอานะมันปากเปราะ จากนั้นก็นิ่ง นี่ละคนปากเปราะ เอะอะพูดแล้วๆ แกเก่งอยู่นะ เรื่องภายใน กำลังจิตแกก็เก่ง เรื่องรถนี่ เอ้า ไป ถ้าแกกำหนดให้หยุดนี้หยุดเลย นี่พลังจิต

อย่างท่านอาจารย์ฝั้นก็เหมือนกัน อันนี้เครื่องใช้นะ ไม่ใช่ของจริง เป็นอาการของจิต เป็นพลังของจิตออกมา เช่นอย่างรถวิ่งไปนี้ จะวิ่งไปไหนก็ตาม กำหนดให้หยุด หยุดเลย คือพลังของจิตมันแรงอย่างนั้นละ อย่างท่านอาจารย์ฝั้นก็เหมือนกัน ท่านเคยพูดให้ฟังเวลาเขานิมนต์ท่านไปขึ้นเครื่องบิน ตอนเผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่นนั่นแหละ เครื่องบินเขาไปลงที่นั่น จ้าง ๒ นาทีต่อ ๔๒ บาท ไป ๒ นาทีเขาเก็บคนละ ๔๒ บาท แล้วเขามานิมนต์ท่านอาจารย์ฝั้นไปขึ้น มานิมนต์เลย ให้ขึ้นท่านก็เลยขึ้นท่านว่า ท่านพูดถึงเรื่องจิตของท่านนะ ไปก็ขึ้น เขาให้ไปตระเวนดู ที่ไหนได้เวลาเขาพาขึ้นไป เขาไม่ได้ไปตระเวนนี้ ฟาดร้อยเอ็ด มหาสารคาม เกือบถึงอุบลตระเวนไป ไม่ทราบกี่นาที

ท่านก็ได้ดูสภาพต่างๆ นั่งเรือบินไปดู เขาตั้ง(ใจ)พาไปพิเศษ เพราะเขามานิมนต์เองนี่ แทนที่จะเป็นสองนาที มันเกือบครึ่งชั่วโมง เครื่องบินอย่างเร็วๆ นะ เราก็ดูนั้นดูนี้ ท่านก็มาพูดถึงจุดนี้ละ คือจิตเราต้องระวังท่านว่างั้นนะ ถ้าจ่อตรงไหนเครื่องบินจะพาเราพังท่านว่า นั่นพลังของจิตท่าน เราดูไปธรรมดาๆ จิตเราไม่ส่งเข้าเครื่อง ถ้าส่งด้วยเจตนานี้มันแรงท่านว่างั้น ถ้าส่งต้องส่งธรรมดาๆ เหมือนดูนั้นดูนี้ ในเครื่องไม่เข้าไป ท่านเล่าให้ฟัง ท่านพูดเอง นี่ละพลังจิต

ทีนี้ก็มาถึงที่กำลังท่านพาพระเณรสานขัดแตะอะไร จะทำเป็นแผงๆ ในงานศพพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านก็เป็นหัวหน้าอยู่นั้นดู พวกฆราวาสก็มีเยอะพระก็มีช่วยกัน สานขัดตกขัดแตะเต็มลานวัด แล้วก็มีผู้หญิงสองคนขี่จักรยานไปที่นั่น ไปปุบปับๆ เข้ามาฉากเข้ามาใกล้ๆ เป็นอย่างนั้นละ ท่านก็เลยชะเง้อขึ้นดู อ้าว มันยังไงเด็กสองคนนี้น่ะ ไม่รู้ภาษีภาษา เขาขี่ฉากเข้ามาใกล้ๆ นี้แล้วเขาก็ออกไป ท่านก็เลยบอก เอ้า แล้วคอยดูนะจะเอาให้มันล้มให้ดู ท่านว่าอย่างนี้นะ

ท่านพูดพระเณรได้ยินหมดนี่ คอยดูนะจะเอาให้มันล้มให้ดู ให้จักรยานล้ม แต่ไม่ให้มันเจ็บท่านว่างั้น ให้มันล้มดูมันเก่งนัก แต่ไม่ให้มันเจ็บท่านว่างั้น พอว่างั้นพระเณรหยุดหมดเลยนะ จ้อคอยดู ขี่ไปสะเปะสะปะ เพะพะ ล้มลงนั่น เห็นไหมท่านว่างั้น พระเณรหัวเราะ โอ๋ย อายจะตายไปเลย จากนั้นขณะนี้มันหายอายหรือยังก็ไม่รู้ เพราะพระเณรหัวเราะกันลั่น เนื่องจากได้ทราบเหตุจากท่านแล้วใช่ไหมล่ะ คอยดูจะให้มันล้มให้ดู แต่ไม่ให้มันเจ็บ มันเก่งนักเด็กสองคนนี้ท่านว่าอย่างนั้น พอไปถึงนั้นก็ เค๊กค๊าก ก็ล้มตูมลงไปนั้นเลย นั่นเห็นไหมบาปบุญมีอยู่ หาอะไรมันก็เจออันนั้นละซิ เขาหาอันนั้นเขาก็เจออันนั้นความหมายว่างั้น อย่างนั้นกำลังจิตของท่าน ไปเครื่องบินท่านจึงไม่ส่งจิตเข้าเครื่องท่านว่า ไม่ส่ง นี่ละพลังของจิต

ท่านอาจารย์ฝั้นเก่งเรื่องพลังของจิต ท่านอาจารย์ลีเก่งพลังของจิต นี่เป็นไปตามนิสัยวาสนา ใครเคยสร้างมาแบบไหนๆ มันจะเป็นไปแบบนั้น นี้เป็นเครื่องใช้ประดับตัวหรือวาสนาบารมี ประดับใจที่เป็นหลักใหญ่ เป็นอย่างนั้นนะ สำหรับท่านอาจารย์ฝั้นกับท่านอาจารย์ลีนี้เด่นทางพลังใจ แล้วโยมทองแดงแกก็เก่งแบบนั้นเหมือนกัน ทางพลังใจ รถนี้จะวิ่งไปไหน กำหนดให้หยุด หยุดเลยไปไม่ได้ นั่นละอำนาจของจิตดูซิใครมองเห็นเมื่อไร อย่างที่แกพูดเหมือนว่าเป็นตัวอย่างอันหนึ่ง แกเล่าถึงเรื่องว่า แกไปตลาดกลับมาได้แตงมาเต็มตะกร้า พอรถวิ่งไปๆ รถไม่ใช่ทางลาดยาง รถทางหินลูกรัง ไปขลุกขลักๆ สักเดี๋ยวลูกนั้นตกลูกนี้ตก ตกเกลื่อนไปในรถนั่นละ

ทีนี้ตกไปตกมาแกก็คิดถึงเรื่องเก็บแตงแก ถ้ารถวิ่งอยู่อย่างนี้แตงมันเก็บไม่ได้ แกเลยกำหนดให้รถหยุดแกว่างั้น ทีนี้แกก็กำหนดให้รถหยุด รถนี่ช้าลงๆ แล้วหยุด เขาก็งงกัน อ้าว มันทำไมหยุดรถนี่ ดูเครื่องมันซิ เครื่องมันก็ดีๆ พอรถหยุดนั้นแกก็รีบเก็บแตงเข้าตะกร้าแก พอเก็บแตงเสร็จแล้วเขาก็ติดเครื่องอีก ก็ไปอีก ครั้นไปอีกแตงก็ตกอีก สองสามหนจนเขามองดูหน้าแก พอถึงครั้งที่สามนี้ พอแกเก็บแตงเสร็จแล้ว เอ้า ไปซิรถ รถมันไม่ไป แกบอกว่าไปแกว่างั้น พอว่างั้นกดเครื่องติด พอติดเครื่องไปปุ๊บๆ เขาเลยมองดูหน้าแก คงเป็นอียายนี่ละทำรถของเรา นี่คือแกทำเองแกว่า อย่างนั้นแหละ จนเขามองดูหน้า ครั้งที่สามว่างั้นนะ

คือมันตกแล้วถ้ารถไม่หยุดมันเก็บไม่ได้ แตงมันเกลื่อนไปในบริเวณรถนั้น แล้วแกเลยกำหนดจิตให้รถหยุด รถหยุดแล้วก็เก็บแตงใส่ตะกร้าแล้ว พอเสร็จแล้วรถติดเครื่องอีกมันก็ไปอีก พอครั้งที่สามนี้แกจึงว่ามันยังกึกกักๆ รถ เอ้า ไปซิรถ มันไปไม่ได้ว่างั้น มันไปได้แกว่านะ เอ้า ติดเครื่อง พอติดเครื่องบึ่งไปเลย เขาเลยมามองดูหน้า โอ๊ะ อียายนี้เป็นคนทำรถ อย่างนั้นละมันเป็นอยู่ลึกๆ ในจิต กระแสจิตเข้าใจไหมล่ะ ใครเห็นได้รู้ได้เมื่อไร

อำนาจของจิตเป็นต่างๆ กัน ที่เด่นอยู่สมัยปัจจุบันนี้ก็คือท่านอาจารย์ฝั้น ท่านอาจารย์ลี ที่กระแสของจิตรุนแรง องค์อื่นๆ ก็ดีไปคนละทางๆ เป็นนิสัยวาสนาของแต่ละรายๆ เป็นอย่างนั้น สำหรับเรามันดีไปทางหนึ่ง ถ้ากล้วยหอมกล้วยไข่มีทางไหน อู๋ย มันถึงเลยนะ มันไปเห็นหมดนั่นละ อย่างอื่นไม่เป็นท่า ถ้ากล้วยหอมกล้วยไข่ติดปั๊บเลย ได้การ พลังของจิตเกิดขึ้นจากจิตตภาวนา จิตจึงเป็นของสำคัญ ให้อบรมซิน่ะ นี่เป็นเรื่องภายนอกไม่ใช่เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนเรื่องภายในจิตจริงๆ เรื่องภายในจิตจริงๆ จิตเมื่อมีกำลังแล้ว โอ๋ย มันเก่งกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นไหนๆ นี่ละจิตตภาวนา ท่านจึงสอนให้อบรมจิตใจ

จิตใจที่หมอบอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะกิเลสครอบหัวมัน พอชำระกิเลสออกมันจะค่อยส่องแสงสว่างขึ้นมาเรื่อยๆ ทีนี้ก็หนักเข้าๆ ในจิต มีแต่พลังของจิตทั้งนั้น นี่ถ้าได้รับการอบรม แล้วยิ่งกิเลสขาดสะบั้นไปจากใจหมดโดยสิ้นเชิงแล้วนี้มันจ้าหมดเลย เป็นหลักธรรมชาติจ้าอยู่อย่างนั้นตลอด หลับตื่นลืมตาก็ตาม ธรรมชาตินั้นจะจ้าอยู่ภายใน นอนก็จ้าอยู่ในนั้น ไม่ว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอน เคลื่อนไหวไปมาที่ไหน ธรรมชาตินี้จะจ้าอยู่ภายใน นี่คือจิตที่ชำระเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรปิดบังเลย แสดงฤทธิ์เดชเต็มอำนาจของจิตของธรรมที่เป็นอันเดียวกันตลอดเวลา ไม่ว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอน ธรรมชาตินี้จะจ้าอยู่อย่างนั้น นี่อำนาจของจิต

เพราะฉะนั้นจึงให้พากันภาวนา ให้แก้กิเลส ตัวที่ทำจิตให้อาภัพก็คือกิเลสนั้นแหละ ทำจิตใจของเราให้อาภัพ ถ้าชำระนี้ออกๆ แล้วจิตใจนี้จะแสดงฤทธิ์เดชขึ้นมา เพราะอำนาจของกิเลสมันบีบบังคับอำนาจมากกว่าธรรมภายในใจซึ่งมีจำนวนน้อย ทีนี้พอใจมีกำลังมากแล้วเหล่านั้นจางไปๆ นี้แสดงฤทธิ์เต็มเหนี่ยวเลย นี่ละคุณค่าของการภาวนาจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย พระพุทธเจ้าสาวกทั้งหลายจ้าขึ้นมาเพราะอำนาจจิตตภาวนา สอนโลกให้ชุ่มเย็นไปหมด

เพราะใจของท่านเป็นธรรมทั้งดวง แสดงไปกิริยาใดก็ตาม ไม่มีพิษมีภัย คือใจของพระอรหันต์ จะแสดงอะไร แม้ที่สุดจะออกมาทางกิริยาท่าทางอะไรก็ตาม จะเป็นแต่กิริยาที่โลกเขายึดเขาเกาะกันว่าดุว่าด่าว่าเฆี่ยนว่าตีว่าเด็ดว่าขาดว่าอะไร ก็ว่าไปตามกิริยา แต่ใจนี้เป็นไปด้วยคุณธรรมทั้งหมดนั้น ไม่ว่าจะอ่อนจะแข็งจะดุจะด่าว่ากล่าวนิ่มนวลหรือธรรมดาๆ ก็ตาม เป็นเรื่องของธรรมล้วนๆ ออก ท่านจึงไม่มีพิษ จะแสดงอาการทั้งหลายออกมาอย่างใดก็ตาม ไม่มีพิษมีแต่คุณโดยถ่ายเดียวเท่านั้น เพราะพิษในจิตไม่มี มีแต่ธรรมล้วนๆ กิริยาอะไรแสดงออกมาเป็นธรรมทั้งหมดเลย เป็นอย่างนั้นละ ถ้าทำจิตให้หมดพิษภายในตัวเองแล้วกิริยาแสดงออกก็เป็นคุณทั้งหมดๆ เลย

ให้พากันจำเอา แล้วไปปฏิบัติเรื่องจิตตภาวนา อย่าพากันขี้เกียจขี้คร้าน ในครัวก็เหมือนกันให้ตั้งใจภาวนา เราจะได้เห็นความแปลกประหลาด อย่าไปหาที่ไหนเลย จะเห็นขึ้นที่ใจของนักภาวนา จะเลิศจะเลอที่นั่น ทีนี้พอเป็นแบบนี้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นว่าเขาเลิศเขาเลอแต่ก่อนมันจะหมอบเลย อันนี้เหนือกว่าๆ สุดท้ายดึงเข้ามาหาจิตหมด จิตปล่อยเข้ามาๆ แล้วมาจ้าอยู่ที่จิต ฤทธิ์เดชเต็มหัวใจอยู่ที่จิต ครอบโลกธาตุอยู่ที่จิต เป็นอย่างนั้นนะ ขอให้เปิดให้เห็นซิน่ะจิต เอาละเพียงเท่านั้น วันนี้ไม่พูดมาก

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก