เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
พุทธศาสนามีร่องรอย
ก่อนจังหัน
การอดอาหารเราก็ได้ผ่านมาแล้ว คือเรามันผาดโผน ทีนี้ก็บวกลบคูณหารการกระทำของเจ้าของออกมาให้อยู่ในระดับพอดีๆ แล้วเอานั้นละมาสอนพระ คือเวลาเจ้าของทำเจ้าของมันผาดโผนเสียมากต่อมาก ส่วนมากมักจะผาดโผน คือกำลังของจิตมันรุนแรงต่อธรรมทั้งหลาย ความหมายว่างั้น ทีนี้ทำอะไรจึงมักผาดโผนไป ถ้าว่าอดอาหารนี้จนเขาตีเกราะประชุม ฟังซิ เขาตีเกราะประชุม พระองค์นี้ไม่ตายแล้วหรือ มาอยู่นี้กี่เดือนแล้ว ไปที่อื่นก็เป็นแบบเดียวกันแต่เขาไม่ได้ตีเกราะเราก็บอกไม่ตีเกราะ เหมือนไม่มีอะไร แต่ความจริงมีอย่างนั้นตลอด มันผาดโผนอย่างนี้
ทีนี้จึงประมวลเอาอันนี้มา คัดเลือกเอาพอสมควรตรงไหนๆ เอามาสอนพระ เช่น อดอาหารให้ดูธาตุขันธ์บ้าง คือเราไม่ดู ดูแต่ธรรม ขอให้ธรรมดีพอ คือธาตุขันธ์อ่อนลงๆ ธรรมนี้ดีดๆ นะ จิตใจสง่างามสว่างไสว ร่างกายออบแอบ จิตใจนี้ดีดผึงๆ อยู่ภายใน อันดีดผึงๆ นี้ละลากธาตุขันธ์ไปเอาให้เป็นให้ตาย ทีนี้ก็มาประมวลเรื่องการดำเนินของเจ้าของให้หมู่เพื่อนเอาไปปฏิบัติ เฉลี่ยให้พอเหมาะพอดี คือให้มองดูธาตุขันธ์บ้าง ถ้ามองดูธรรมอย่างเดียวธาตุขันธ์ซึ่งเป็นเครื่องมือเสียได้ ถ้าธาตุขันธ์เสียธรรมก็อ่อนหรือเสียได้เหมือนกัน สอนอย่างนี้สอนพระสอนเณร
เราได้ใช้ความพินิจพิจารณา การปกครองทั้งฆราวาสทั้งพระเราก็ได้ปกครองเต็มกำลังของเรา อยู่นี้มันมีทั้งสองฝ่าย ในครัวและในนี้ ที่เป็นภาระมากก็คือในครัว เรื่องยุ่งมากอยู่ในครัวนะ ผู้หญิงปากเปราะ เก็บความรู้สึกไว้ไม่ได้ มีแต่จะเปิดปากๆ อะไรๆ ก็แว้ดๆ ใส่กัน แว้ดๆ ใส่กันแล้วก็ทะเลาะกัน แล้วก็ว่าคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี แล้วใครดีล่ะ ไม่มีใครดี มันเลอะเหมือนกันหมด นั่นเป็นอย่างนั้น
พระท่านเก็บความรู้สึกได้ดี ท่านมุ่งต่อธรรมท่านไม่ค่อยมีอะไร เช่นในวัดป่าบ้านตาด พระไม่มีไอ้เรื่องที่ว่าเหล่านี้ ไม่มีสำหรับพระ จิตหนักแน่นต่างกัน ผู้หญิงกับผู้ชายหนักแน่นต่างกัน เราจะได้เห็นชัดเจนตอนที่เราปกครอง เพราะปกครองนี้มีทั้งฝ่ายพระ พระเป็นฝ่ายผู้ชาย ทางครัวเป็นฝ่ายผู้หญิง เก็บเอามาพิจารณา ประมวลมาพิจารณาคลี่คลายออกดู ชั่งน้ำหนัก อะไรหนักอะไรเบา สรุปลงแล้วผู้หญิงมักจะไม่เก็บความรู้สึก ความรู้สึกมักจะออกไปข้างนอก ไปเพ่งคนนั้นเล็งคนนี้ คนนั้นไม่ดีอย่างนี้ๆ เจ้าของไม่ดีไม่ดู นี่มันเสียเสียตรงนี้ จึงมักมีเรื่องเสมอ
ผู้ปฏิบัติธรรมต้องดูเจ้าของ กิริยาของจิตแสดงออกอาการใดๆ ส่วนมากเป็นเรื่องของกิเลสนำออกจะผิดพลาดไปทั้งนั้น เรื่องเป็นธรรมมีน้อยมาก จึงต้องใช้สติปัญญาพิจารณา แล้วเก็บความรู้สึกให้ดี ความรู้สึกนี้ทำให้ปากเปราะปากบอนแล้วทำให้ทะเลาะกันได้ จำให้ดี ทุกสิ่งทุกอย่างให้ทำใจให้กว้างขวาง อย่ามีใจคับแคบต่อกัน เราอยู่ร่วมกันต้องแสดงเป็นผู้มีน้ำใจต่อกัน เห็นแก่ตัวเองเห็นแก่ใจตัวเองคนนี้ไปไหนขวางโลก ชอบจะใช้อำนาจแล้วก็เสีย วางตัวให้เสมอ ใครก็ตามถ้าหนักในธรรมแล้วไม่ค่อยเสีย หนักทางกิเลสเสีย ไปที่ไหนเกิดเรื่องเรื่อยๆ
เราได้เตือนเสมอเตือนผู้ปฏิบัติ สำหรับพระเณรไม่ค่อยมีอะไร นี้เราพูดอย่างตรงไปตรงมา สำหรับพระเณรเราไม่ค่อยมีอะไร มีมากมีน้อยปกครองมาโดยลำดับลำดา ไม่ค่อยมีเรื่อง แต่ฝ่ายผู้หญิงมีเรื่อยมาตลอด มากเท่าไรยิ่งมากฝ่ายผู้หญิงในครัวน่ะ เราไม่ได้ว่าผู้หญิงเป็นอย่างนั้นทุกคน ส่วนมากมีแต่อย่างนั้น เลอะเทอะๆ พากันไปพิจารณานะพวกนี้ เรานี้อกจะแตกแล้วนะการปกครอง สุดท้ายเราเลยกลายเป็นผู้ต้องหา ทำอันนี้ไม่ถูก ทำอย่างนั้นไม่ถูก เขาชี้เข้ามาหาเรา เราเป็นผู้จัดด้วยความเป็นธรรม ด้วยความเมตตาล้วนๆ เลยกลายเป็นผู้ต้องหาไป นักโทษมันกลายเป็นนักคุณไป เรื่องกิเลสมันพลิกตัวของมันอย่างนั้น
ให้พากันดูให้เสมอภายนอกภายใน ใช้ความพินิจพิจารณา เก็บความรู้สึกให้ดี อย่าให้มันออกมาง่ายๆ ปากบอน ปากเปราะแล้วก็ปากบอน แล้วก็ทะเลาะกัน คนๆ นั้นไปอยู่ที่ไหนมักจะขวางๆ ใช้อำนาจป่าๆ เถื่อนๆ ให้พร
หลังจังหัน
คนเราที่มีแต่การดีดดิ้นหาอยู่หากิน การได้การเสียวุ่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ค่อยได้ดูชีวิตสังขารความเป็นอยู่ของตัวเอง ทีนี้เวลาหมุนกลับเข้ามามันแก่ คว้าอะไรไม่ทันๆ ตายไปด้วยความคว้าไม่ทัน จม เป็นอย่างนั้น ทีนี้คว้าความดีเข้ามาๆ คือดูความเป็นอยู่ของจิตใจและสังขารร่างกาย ดูไปด้วยกันๆ สังขารร่างกายมันก็ค่อยแก่ไปๆ จิตใจก็แก่ทางศีลทางธรรมไปเรื่อยๆ ร่างกายจะแก่ไปขนาดไหนก็ตามเมื่อจิตใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วหมดปัญหาโดยประการทั้งปวง โลกสมมุติทั้งมวลไม่มีเข้ามาผ่านจิตใจเลย
นั่นท่านเรียกว่าจิตตวิมุตติ หลุดพ้นแล้วจากสมมุติทั้งปวง คือสามแดนโลกธาตุนี้เป็นสมมุติทั้งมวล วิมุตติคือความหลุดพ้น พ้นจากนี้ไปทั้งมวล จึงหมดความกังวล พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านหมดความกังวล ออกมาจากการวิ่งเต้นขวนขวาย เริ่มต้นออกมาปฏิบัติสนใจกับศีลกับธรรม จิตใจค่อยชินกับศีลกับธรรม สนิทเข้าศีลเข้าธรรมเรื่อยๆ สนิทมากเข้าๆ ความไม่ดีทั้งหลายก็ค่อยจางไปๆ ความดีเด่นขึ้นๆ นี่ละการอบรมตนเองเป็นอย่างนั้น
จนกระทั่งสมมุติทั้งมวล สมมุติจะเป็นอะไรไป กิเลสนั่นแหละคือตัวยอดสมมุติ ยอดสมมุติทั้งมวลคือกิเลสนี้ขาดสะบั้นไปจากใจ สมมุติก็หมดโดยสิ้นเชิง ความยุ่งเหยิงวุ่นวายมากน้อยก็หมดไปโดยสิ้นเชิงเหมือนกัน นั่นละจิตผ่านสมมุติไปแล้ว ไม่เหลือ และไม่มีความกังวล มีความเมตตาเข้ามาแทนที่ คือเมตตาจิตนี้เป็นหลักธรรมชาติ ติดกันเป็นอันเดียวกันกับใจที่บริสุทธิ์ ความเมตตากับใจที่บริสุทธิ์เป็นอันเดียวกันโดยไม่รู้สึกตัว อ่อนนิ่มไปหมดเลย ทีนี้หมดห่วง ไม่มีจะห่วงจะหวงอะไร หมด
นี่การฝึกฝนอบรมจิตใจให้เข้าสู่อรรถสู่ธรรม เป็นความอบอุ่นภายในใจตนเองอย่างนี้ จึงได้เตือน สังขารร่างกายไม่ว่าท่านว่าเรามันก้าวไปอยู่ทุกเวลาด้วยกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ส่วนจิตที่จะอยู่เหนือกฎได้จากการอบรมก็ให้ฟิตตัวเองเข้าไป ไม่อย่างนั้นก็จะอยู่ในกฎอันนี้แหละ ถ้าฝึกให้ดีแล้วผ่านกฎนี้ได้ พระพุทธเจ้า พูดให้ชัดเจนบรรดาพี่น้องชาวพุทธเราอาจจะยัง ไม่อยากจะว่าอาจ พูดตรงไปเลยถูกต้องดีกว่า ไม่ชัดเจนในพุทธศาสนาที่ตนนับถืออยู่ ถืองูๆ ปลาๆ ไป จากพ่อจากแม่จากครูจากอาจารย์ ไม่ได้หลักเกณฑ์จากพุทธศาสนาโดยแท้จริงเข้ามาเป็นหลักใจ นี่ละเสียตรงนี้
ที่จะให้ศาสนาเข้ามาเป็นหลักใจจริงๆ ต้องเกิดขึ้นจากความสนใจปฏิบัติศาสนาแล้วไหลเข้าไปสู่จิตตภาวนา จิตตภาวนาเป็นธรรมสำคัญมากทีเดียว สามารถที่จะฟื้นเข้าดูพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องถามว่าพระพุทธเจ้าอยู่ตรงไหนเลย นี่จิตตภาวนา เมื่อจิตตภาวนาเต็มที่ของจิตแล้วพระพุทธเจ้าก็อยู่ตรงนั้น นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายนับแต่สาวกองค์สุดท้ายขึ้นมาเป็นอันเดียวกันหมด คือไม่มียิ่งมีหย่อน ต่างกัน เทียบกับน้ำมหาสมุทร น้ำมหาสมุทรจะกว้างจะแคบขนาดไหนเอามือจ่อลงไปตรงไหนก็คือน้ำมหาสมุทร จิตใจเมื่อถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วเป็นแบบเดียวกัน ไม่ว่ารายใดๆ พอเข้าถึงความบริสุทธิ์แล้วเป็นอันเดียวกันหมดกับพระพุทธเจ้า นี่ละจิตที่บริสุทธิ์
พุทธศาสนานะที่สอนมาได้ถึงขั้นนี้ ขั้นที่เลิศเลอ พ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงนี้คือพุทธศาสนา มีตนมีตัว พระพุทธเจ้าของเราเวลาเสด็จออกทรงผนวช นี่ละมีร่องมีรอย มีตนมีตัว ตามรอยมา ไม่ใช่ศาสนาพระพุทธเจ้าของเราเป็นศาสนาป่าๆเถื่อนๆ นะ ตามร่องตามรอยเข้ามาๆ จนถึงตัว เหมือนเราตามรอยโค ตามรอยเข้าไปๆ รอยโคจะเข้าไปถึงตัวโค รอยความจริงก็จะเข้าไปถึงความจริง พระพุทธเจ้าเรามีร่องรอยมาอย่างนั้น ตั้งแต่เสด็จออกทรงผนวช นี่ละร่องรอยเริ่มละ เอาเฉพาะอันนี้ก่อน
เบื้องต้นกว่านี้ก็คือพระบารมีหากดลบันดาลมา ให้เสด็จทอดพระเนตรในพระราชวัง ดังที่เราเห็น เมื่อพระบารมีแก่กล้าแล้วหากมีมาดลบันดาลให้เสด็จทอดพระเนตรในพระนคร ไปเจอพวกเด็กคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วก็ไปสมณะ แล้วก็มาประมวลที่สมณะ ซึ่งองค์ศาสดาเราจะออกบวชเป็นอย่างนี้ ท่านมีร่องรอยมาอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีร่องรอย พุทธศาสนามีร่องรอยเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ได้คว้าเอาว่าอะไรที่ชอบใจ หรืองูๆ ปลาๆ เห็นเขาถือก็ถือไปอย่างนั้น อย่างนั้นงูๆ ปลาๆ ไม่ใช่ความจริง
พุทธศาสนานี้เป็นร่องเป็นรอย เป็นความสัตย์ความจริง เป็นตนเป็นตัวจริงๆ เสด็จออกทรงผนวช เริ่มต้นตั้งแต่จะเสด็จออกละ เสด็จออกทอดพระเนตรก็ไปเจอธรรมสังเวชถึงสี่อย่างห้าอย่าง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เพศสมณะ จากนั้นมาประมวลเสด็จออกทรงผนวช ทุกพระอาการเคลื่อนไหวของพระพุทธเจ้านี้เป็นตัวอย่างต่อสัตว์โลกได้เป็นอย่างดี คือเป็นศาสดาของโลก เริ่มมาตั้งแต่นั้นแหละ ศาสดาคือครูสอนโลกเรื่อยมา ออกทรงผนวช พอออกทรงผนวชก็เป็นคติตัวอย่างอันดีงามมาตลอดอีกแหละ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ความสะดวกสบายตามโลกสมมุตินิยมอะไรจะเกินพระเจ้าแผ่นดิน ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในนั้นหมด แล้วก็ทรงเสียสละ เหมือนเ