ประโยคพยายามแห่งศาสดาผู้ขุดค้นธรรมของจริง
วันที่ 22 เมษายน 2523
สถานที่ : วัดเขาน้อยสามผาน จ.จันทบุรี
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดเขาน้อยสามผาน จ.จันทบุรี

เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๓

ประโยคพยายามแห่งศาสดาผู้ขุดค้นธรรมของจริง

จะเริ่มพูดธรรมะให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบถึงความเป็นมาแห่งธรรม ว่าเป็นมาได้อย่างไร ว่าธรรมเกิดขึ้นในโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร เรานับถือพุทธศาสนานั้นนับถืออย่างไร คำว่าพุทธศาสนาแปลว่า นี่เราแปลอย่างผิวเผินตามกิริยาสมมุติของโลกว่า คำสั่งสอนของท่านผู้รู้ พุทธะแปลว่าผู้รู้ ศาสนะได้แก่คำสั่งสอน การแสดงออกแห่งคำสอนของพระพุทธเจ้าในขั้นเริ่มแรกที่พระองค์ทรงประกาศสอนธรรมเอง เป็นอาการออกมาจากพระโอษฐ์คือปากของพระพุทธเจ้า นี่เป็นอาการแห่งธรรมทั้งนั้น ธรรมแท้บรรจุอยู่ในพระทัยของพระพุทธเจ้า เรียกว่าวิสุทธิธรรม

ธรรมที่ยังพระองค์ให้ประเสริฐ ธรรมที่ยังพระพุทธเจ้าของเราให้พ้นจากทุกข์ ธรรมที่ยังพระพุทธเจ้าให้เป็นศาสดาเอกของโลกนั้นอยู่ในพระทัยของพระองค์เอง ไม่สามารถที่จะนำออกมาแจกจ่ายท่านผู้หนึ่งผู้ใดได้เหมือนวัตถุสิ่งของต่างๆ และเหมือนอาการแห่งธรรมที่นำออกมาแสดงทั้งฝ่ายเหตุฝ่ายผล อันปรากฏเป็นธรรมในโลกให้เราทั้งหลายได้ยึดได้ถือว่าศาสนธรรม หรือว่าศาสนา พระองค์เองทรงชี้แจงแนวทางให้เราทั้งหลายรู้ ทั้งบาปทั้งบุญ ทั้งคุณและโทษ นรก สวรรค์ พรหมโลกตลอดนิพพาน

สิ่งที่พระพุทธศาสนาคือพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้รู้จริงเห็นจริง ได้ทรงแสดงออกทุกแง่ทุกมุมทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงประจักษ์แล้วด้วยพระทัย หรือพระจักขุญาณของพระองค์เอง เมื่อทรงทราบประจักษ์ทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น บาป บุญ เป็นต้น แล้วจึงได้นำนั้นออกมาแสดง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นของมีอยู่ในโลกธาตุนี้มาดั้งเดิม แต่ไม่มีใครเป็นผู้สามารถฉลาดรู้ที่จะขุดค้นหยั่งทราบหยั่งรู้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้อย่างประจักษ์ สิ่งที่ควรจะหลบหลีกปลีกตัว สิ่งที่ควรจะละเว้นก็มองไม่เห็น สิ่งที่จะควรบำเพ็ญให้เกิดให้มีขึ้นภายในตน สิ่งที่จะสามารถก้าวขึ้นไปให้ถึงเป็นขั้นๆ ตอนๆ แห่งความสุข หรือขั้นแห่งธรรมทั้งหลาย ก็ไม่สามารถที่จะก้าวขึ้นไปได้ ไม่สามารถที่จะบำเพ็ญให้เป็นไปได้

แม้จะมีหูตาจมูกลิ้นกายใจอยู่โดยสมบูรณ์ แต่ก็สมบูรณ์อยู่ในวิสัยของมนุษย์สามัญที่มีธรรมชาติอันหนึ่งที่ท่านให้ชื่อว่ากิเลส เป็นเครื่องปกปิดกำบังความจริงทั้งหลายเอาไว้ นำแต่ของปลอมออกมาประกาศ นำแต่ของปลอมออกมาล่อลวงสัตว์โลก เมื่อสัตว์โลกไม่มีสิ่งใดเป็นเครื่องยึด ไม่มีสิ่งใดเป็นที่เกาะเกี่ยวเป็นที่เชื่อถือได้ ก็ยึดสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นของจอมปลอมเข้าสู่จิตใจ และยึดเข้าโดยลำดับลำดา จนกลายเป็นนิสัยของจิตที่ยึดที่เชื่อในสิ่งที่จอมปลอมทั้งหลายเรื่อยมา หูตาแม้จะมีก็ยอมเชื่อในสิ่งที่จอมปลอมเหล่านั้น ไม่สามารถที่จะเชื่อในของจริง เพราะไม่เคยเห็นของจริงว่าคืออะไร

เช่นบาปซึ่งเป็นของจริงโดยแท้ บุญเป็นของจริงโดยแท้ มีอยู่ดั้งเดิมมาแต่กาลไหนๆ  นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เป็นของจริงโดยแท้ มีมาแต่ดั้งเดิมกาลไหนๆ แต่เราไม่สามารถที่จะรู้ ไม่สามารถที่จะเห็น จึงไม่สามารถที่จะนำสิ่งเหล่านี้อันเป็นสิริมงคลหรือเป็นความดี เข้ามาเป็นเครื่องประดับใจหรือส่งเสริมจิตใจ หรือขยายจิตใจของตนให้มีความรู้ความฉลาดกว้างขวาง หยั่งทราบได้อย่างลึกซึ้งเหมือนพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย

นี่เราเกิดมาในท่ามกลางแห่งพระพุทธศาสนา จึงนับว่าเป็นผู้มีวาสนา สิ่งที่มีอยู่ทั้งหลายโดนอยู่ทุกวันทุกเวลาทุกอิริยาบถ เรายังไม่สามารถมองเห็นได้ แต่มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวในขั้นเริ่มแรก ซึ่งพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญเต็มพระสติกำลังความสามารถ วิธีการของพระพุทธเจ้าที่ทรงเสาะแสวงหาธรรมเพื่อพระองค์เองเป็นอันดับแรก และเพื่อสัตว์โลกทั้งหลายเป็นอันดับต่อไปนั้น เป็นความลำบากยากเย็นเข็ญใจที่สุด ในโลกมนุษย์เราไม่ปรากฏว่ามีผู้หนึ่งผู้ใดสามารถทำได้เหมือนอย่างพระองค์

เช่น การเสด็จออกทรงผนวช เพื่อจะขุดค้นหาธรรมของจริงทั้งหลายซึ่งมีอยู่ในโลกมาดั้งเดิม ก็ทรงเสด็จออกด้วยความลำบากยากเย็นเข็ญใจ มีนายฉันนอำมาตย์เท่านั้นเป็นผู้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าเพียงคนเดียวกับม้ากัณฐกะ เรียกว่าม้ามงคลของพระองค์ ไม่สามารถที่จะอำลาญาติมิตรเพื่อนฝูง พระบรมชายาและพระราชโอรส พระราชบิดาเลย หากว่าจะแย้มความประสงค์ของพระพุทธเจ้าให้ท่านเหล่านั้นทราบ ก็จะเป็นอันตราย เป็นอุปสรรคต่อการเสด็จออกทรงผนวช ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์มุ่งมั่นอย่างเต็มพระทัยอยู่แล้ว

เพราะเหตุนั้นแม้จะได้รับความทุกข์ความลำบาก ความอาลัยเสียดายในสมบัติพัสถาน ไพร่ฟ้าประชาชี เฉพาะอย่างยิ่งพระบรมชายาของพระองค์ ได้แก่พระนางยโสธราพิมพา ก็เสด็จออกด้วยความฝืนพระทัยอย่างยิ่ง ฝืนอย่างเต็มที่ ไม่มีใครจะฝืนเหมือนอย่างพระพุทธเจ้า เพราะลูกใครก็ตาม เมียใครก็ตาม สมบัติพัสถานของใครก็ตาม บริษัทบริวาร ไพร่ฟ้าประชาชีของผู้ใดก็ตาม ย่อมมีความรัก ความสนิทติดจม เป็นเช่นเดียวกันหมด แต่สิทธัตถราชกุมารที่เสด็จออกทรงผนวชคราวนั้น ทรงฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลายเหล่านั้น ประหนึ่งว่าพระทัยจะหลุดขาดสะบั้นลงที่หอปราสาทนั้น เหลือแต่สิทธัตถราชกุมารอันเป็นร่างเปล่าๆ ไม่มีวิญญาณตามไปเลย เพราะความอาลัยเสียดาย แต่ก็ทรงฝืนอย่างเต็มที่ นี่คือศาสดาของเราที่ทรงดำเนินมา มีความยากลำบากแค่ไหน ให้เราพึงคำนึงแล้วนำมาเป็นคติเครื่องพร่ำสอนตน จะพอมีแนวทางก้าวเดินตามเสด็จครูได้แก่ศาสดาของเราไปตามลำดับๆ

เวลาเสด็จออกถึงที่ผนวชแล้ว สถานที่อยู่ที่อาศัยไม่ใช่หอปราสาทราชมณเฑียร คนที่อยู่ได้แก่สิทธัตถราชกุมารนั้นกลายเป็นคนอนาถาไปแล้ว ไม่ได้เป็นสิทธัตถราชกุมาร ไม่ใช่เป็นพระเจ้ากรุงกบิลพัสดุ์เสียแล้ว กลายเป็นคนอนาถาหาขอทานเขากิน อาหารนั้นไม่ใช่อาหารของกษัตริย์ แต่เป็นอาหารของคนขอทานทั่วๆ ไป ที่โลกเขาให้ทานกันตามประเพณีนิยมของเขา เพราะเวลานั้นไม่มีศาสนา เขาจะทราบได้อย่างไรว่า การให้ทานมีผลมากน้อยเพียงไร พอที่จะมีแก่ใจหาของดิบของดีมาถวายพระองค์ และเขาก็ไม่ทราบด้วยว่า พระสิทธัตถราชกุมารนี้คือพระเจ้ากรุงกบิลพัสดุ์ ไม่มีใครทราบได้เลย ทราบแต่สมณะองค์หนึ่งเท่านั้น ที่เป็นคนขอทาน เพราะฉะนั้นพระกระยาหารทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พระองค์เสวยนั้น จึงเป็นอาหารของคนอนาถาโดยสมบูรณ์ ไม่มีอาหารแห่งกษัตริย์แฝงอยู่แม้แต่น้อยเลย

เปลี่ยนมากไหม ถ้าเราจะพิจารณาตามความเป็นกษัตริย์ ลดตำแหน่งลงไปถึงขั้นคนขอทาน ยากไหม ลำบากไหม ทุกข์แค่ไหน ที่อยู่ก็ไม่ใช่ที่อยู่ของกษัตริย์ เป็นที่อยู่ของคนอนาถาหาที่พึ่งไม่ได้ อาหารปัจจัยก็ไม่ใช่อาหารของพระเจ้ากรุงกบิลพัสดุ์ เป็นอาหารของคนอนาถา เครื่องนุ่งห่มใช้สอยทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นสิ่งเกี่ยวข้องที่พระองค์จะทรงอาศัยเวลานั้น เป็นสิ่งของที่เป็นของคนอนาถาเสียทั้งสิ้น

ประโยคแห่งความพากเพียรของพระองค์ ก็ได้ทรงเร่งลงเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะเสาะแสวงหาอรรถหาธรรม แสวงหาความถูกต้อง เพื่อธรรมทั้งหลายที่ทรงมุ่งอยู่แล้วด้วยวิธีการต่างๆ อดพระกระยาหารก็ถึง ๔๙ วัน แต่การอดพระกระยาหารของสิทธัตถราชกุมารนั้นมุ่งเพื่อความตรัสรู้ ด้วยการอดพระกระยาหารอย่างเดียว ไม่ได้มีจิตตภาวนาเข้าเกี่ยวข้อง และการอดอาหารนั้น ไม่ใช่เป็นเครื่องสนับสนุนความพากเพียรทางจิตตภาวนาให้เป็นไปเพื่อความสะดวกแต่อย่างใด แต่เป็นเนื้อเป็นหนังจริงๆ ด้วยการอดอาหารนั้น คือเพื่อความตรัสรู้เพราะการอดอาหารนั้นโดยถ่ายเดียว เมื่อผิดทางจึงเป็นไปไม่ได้

ความเป็นไปไม่ได้เท่านั้นยังไม่แล้ว พระสิทธัตถราชกุมารทรงได้รับความลำบากลำบน เพราะการฝึกฝนทรมานพระองค์ถึง ๔๙ วัน ไม่รับพระกระยาหารเลยนั้น มีความทุกข์ความลำบากมากเพียงไร ปรากฏในตำรับตำราว่า พระพุทธเจ้าของเราสลบถึง ๓ ครั้ง คำว่าสลบถึง ๓ ครั้งนั้นก็คือว่า ตายแล้วฟื้นมา ๓ หน ถ้าไม่ฟื้นก็ตาย นี่คือประโยคพยายามแห่งศาสดา ผู้ขุดค้นธรรมของจริงเพื่อพระองค์และเพื่อสอนโลก มีความลำบากเพียงไร การบำเพ็ญอยู่ด้วยความลำบากลำบน ยิ่งกว่าคนติดคุกติดตะรางนั้นเป็นเวลา ๖ พระพรรษาของสิทธัตถราชกุมารองค์นั้น

วาระสุดท้ายจึงได้ทรงบำเพ็ญอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออกโดยถือ พระนิมิตที่คราวยังทรงพระเยาว์ ที่พระราชบิดาพาเสด็จไปแรกนาขวัญ แล้วพระองค์อยู่ว่างๆ ตามประสา แต่ไม่ใช่ประสาเด็กทั่วๆ ไป แม้พระองค์จะเป็นเด็กก็ตาม ก็ทรงกำหนดพิจารณาอานาปานสติ เป็นความสงบเยือกเย็นมากในขณะนั้น แล้วทรงย้อนพระจิตของพระองค์ ไปยึดเอาหลักนั้นเข้ามาปฏิบัติ ได้แก่กำหนดอานาปานสติ ตามแบบฉบับที่ทรงบำเพ็ญในตอนที่ทรงพระเยาว์

ในคืนวันนั้นปฐมยามก็ได้บรรลุธรรมเป็นขั้นๆ เรียกว่า อภิญญา ความรู้แจ้งไปตามลำดับภูมิของความที่พระองค์จะเป็นศาสดาอยู่แล้ว ก็ได้ปรากฏทราบพระชาติของพระองค์ ที่เคยเกิดแก่เจ็บตายมากี่ภพกี่ชาติ ที่เรียกว่าปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังไปได้ ความที่เคยเกิดมากี่ภพกี่ชาติ ทั้งๆ ที่พระองค์ไม่เคยระลึกได้เลย แต่เมื่อทรงบำเพ็ญจิตตภาวนา ในคืนวันนั้นตอนปฐมยาม ผลได้ปรากฏขึ้นเป็นปุพเพนิวาสานุสติญาณ ทรงระลึกชาติย้อนหลังได้ และพอมัชฌิมยามก็ทรงทราบจุตูปปาตญาณ มีญาณหยั่งทราบความเกิดความตายของสัตว์ ว่าเกิดแล้วไปตายที่ไหน ตายแล้วไปเกิดเป็นอะไรอีก สับสนเปลี่ยนแปลงกันอยู่อย่างนี้ทุกตัวสัตว์ ไม่มีความแน่นอนในภพในชาติ ในกำเนิดที่เกิดที่อยู่ของตนเลย เพราะอำนาจแห่งกรรม

กรรมคือสิ่งที่สัตว์ทั้งหลายทำไว้แล้วนั้นแล เป็นเครื่องผันแปรสัตว์ทั้งหลาย ให้ได้รับวิบากจากผลแห่งกรรมนั้น เป็นดีเป็นชั่ว เป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นลุ่มๆ ดอนๆ สูงๆ ต่ำๆ ไม่สม่ำเสมอกันทั่วโลกธาตุ พระองค์ทรงสามารถทราบได้อย่างชัดเจน ในจุตูปปาตญาณ นี่เป็นมัชฌิมยาม ผลที่เกิดขึ้นจากการบำเพ็ญอานาปานสติ มีสติกำหนดดูลมหายใจเข้าหายใจออก พอปัจฉิมยาม จิตใจพระองค์มีความผ่องแผ้ว มีความผ่องใสมากโดยลำดับ ทรงใช้ปรีชาญาณคือพระปัญญา พิจารณาค้นคว้าสัจธรรมทั้งหลาย ตั้งปัจจยาการขึ้นเป็นหลักสัจธรรมอันสำคัญ

ปัจจยาการนั้นได้แก่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ เรื่อยไปจนกระทั่งถึงทั้งฝ่ายสมุทัย ทั้งฝ่ายมรรค จนถึงขั้น นิโรโธ โหติ ทรงพิจารณาถึงเรื่องความเกิดความดับแห่งอาการต่างๆ ในพระธาตุพระขันธ์ของพระองค์นี้แล ยกขึ้นมาพินิจพิจารณา เริ่มแรกตั้งแต่อวิชชา ซึ่งเป็นพืชอันสำคัญที่จะทำให้แตกแขนงออกไปเป็นวิญญาณ เป็นนามรูป เรื่อยไปโดยลำดับ จนกระทั่งถึงเป็นภพเป็นชาติ เป็นความเกิด แก่ เจ็บ ตาย มาไม่มีที่สิ้นสุด ออกมาจากไหนพระองค์ทรงค้นคว้า ย้อนหน้าถอยกลับเข้าสู่พระจิต

เพราะจิตเป็นสิ่งสำคัญ เป็นเชื้อที่จะพาให้เกิด ก็สิงอยู่ภายในจิต ครอบงำจิตอยู่โดยละเอียดลออ ไม่มีใครสามารถจะทราบได้ แต่ก็ไม่พ้นพระปรีชาสามารถฉลาดรู้ ได้แก่พระปัญญาญาณของพระองค์ ทรงทราบถึงเรื่องอาการที่เกิดขึ้นจากอวิชชา เป็นอาการต่างๆ แล้วย้อนเข้าไปสู่หลักใหญ่คือ อวิชฺชาปจฺจยา นี้ ก็เป็นอันว่าย้อนเข้าไปสู่ตัวจิตซึ่งพาให้เป็นภพเป็นชาติ เข้าภพนั้นเข้าชาตินี้ เกิดที่นั่น ปฏิสนธิวิญญาณที่นี่ เพราะอำนาจแห่งอวิชชาเพียงตัวเดียวเท่านั้น จนสามารถรู้แจ้งแทงตลอด ทำลาย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ภายในพระจิตนั้น ให้ขาดกระเด็นออกไปไม่มีสิ่งใดเหลือเลย จึงปรากฏเป็นธรรมที่บริสุทธิ์พ้นโลกขึ้นมา เรียกว่าได้ตรัสรู้ธรรม เป็นอาสวักขยญาณขึ้นมาในปัจฉิมยาม

นี่คือองค์ศาสดาที่เป็นครูของพวกเราทั้งหลาย ที่ได้ธรรมมาสั่งสอนนี้ ไม่ใช่ได้มาด้วยความด้นเดาเกาหมัด แต่ได้มาด้วยความสละตายทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่เริ่มแรกเสด็จออกบรรพชาไปโดยลำดับๆ การบำเพ็ญของพระองค์ ไม่มีการลดละท้อถอย ถึงขั้นสลบถึง ๓ หน คนเราถ้าลงไม่ฟื้นก็ต้องตายเท่านั้น สุดท้ายกิเลสตายหมด ไม่ฟื้น ส่วนพระสิทธัตถราชกุมารกลายเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ไม่ตายไปตามกิเลส

ด้วยเหตุนี้ท่านนักปฏิบัติทั้งหลาย มีภิกษุบริษัทเป็นต้น จึงควรนำคติตัวอย่างนี้ เข้ามาเทียบสนิทติดกับใจของตน โดยยกองค์ศาสดาเป็นครูของเรา เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาเกิดความขี้เกียจขี้คร้าน ห่วงใยทางโลกทางสงสาร ซึ่งเป็นเรื่องของวัฏจักรหมุนเวียนจิตใจแล้ว ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าของเรา ท่านฟันฝ่าอุปสรรคซึ่งเป็นวัฏจักรอยู่ภายในจิตออกไปได้ ด้วยเหตุผลกลไกอันใด ถ้าไม่ใช่ด้วยความกล้าหาญชาญชัย ด้วยความอุตส่าห์พยายาม ด้วยความเป็นนักต่อสู้ เราเป็นลูกศิษย์ตถาคต ถ้าไม่นำวิธีการของพระพุทธเจ้ามาใช้ มารบมาต่อสู้กับข้าศึก ข้าศึกจะแพ้ไปได้อย่างไร นอกจากข้าศึกจะย่ำยีตีแหลกเรา ให้ละเอียดเป็นผุยผงไปโดยไม่รู้สึกตัวเท่านั้น

เราต้องยึดพระพุทธเจ้าว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ต้องยึดทั้งพระองค์มาเป็นเครื่องฝากเป็นฝากตายภายในใจด้วย ยึดทั้งปฏิปทาเครื่องดำเนินของพระพุทธเจ้ามาเป็นแนวทาง เป็นเครื่องพยุงจิตใจเวลาเกิดความอ่อนแอท้อถอย จะได้มีกำลังวังชา มีความอาจหาญฮึดสู้กับกิเลส กิเลสนั้นชอบเหลือเกินเรื่องความอ่อนแอ ความขี้เกียจขี้คร้าน ความผัดเพี้ยนเปลี่ยนตัว ผัดวันประกันพรุ่ง ว่าวัยเล็กวัยน้อย วัยเฒ่าวัยแก่ ว่าไม่สมบูรณ์ วันนี้เช้าวันนั้นสาย วันนั้นบ่าย วันนี้เย็น ไม่มีเวล่ำเวลาจะบำเพ็ญคุณงามความดี ไม่มีเวลาจะเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี้กิเลสหัวเราะตลอดเวลา ถ้าหากพูดตามภาษาของเราให้เห็นอย่างชัดๆ ก็เท่ากับกิเลสหั่นหัวหอมเอาไว้ คั่วพริกตำพริกไว้เรียบร้อย เรานั้นขึ้นสู่เขียงรออยู่แล้ว แล้วก็จะเอามีดมาสับยำเราทั้งคนนั้นให้เป็นลาบ แล้วระคนคลุกเคล้ากันกับหอมกับกระเทียมนั้น เป็นอาหารของกิเลสอย่างเอร็ดอร่อย นี่คือความชอบของกิเลส กิเลสชอบอย่างนั้น

แต่กิเลสกับธรรมนั้นเป็นข้าศึกซึ่งกันและกัน ธรรมไม่เป็นเช่นนั้น กิเลสมีความเหี้ยมโหด กิเลสมีความผาดโผนเพียงไร ธรรมจะต้องมีความเหี้ยมโหด มีความผาดโผนยิ่งกว่านั้น หรืออย่างน้อยเพียงเท่านั้น จึงจะต่อสู้เพื่อความเสมอหรือชัยชนะกันได้ในที่สุด พระพุทธเจ้าของเราท่านไม่ใช่หมูขึ้นเขียง แบบพวกขี้เกียจขี้คร้านอ่อนแอ ขึ้นหมอนแล้วไม่ยอมลงเหมือนพวกเราทั้งหลาย เวลาภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ได้ไม่กี่ประโยค อานาปานสติ ลมหายใจยังไม่ถึงท้อง ทางกิเลสมันร่ายมนต์ร่ายคาถาว่า ควรนอนแล้ว เดี๋ยวจะลำบากลำบน วันพรุ่งนี้มีหน้าที่การงานจะทำหนักหนา ทำนั้นบ้างทำนี้บ้าง เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่มีเวล่ำเวลา จะเหนื่อยยากลำบาก เดี๋ยวการงานดำเนินไปไม่ได้ เดี๋ยวผู้ใหญ่ต้องติบ้าง หาเรื่องหาราวไป

ถ้าเป็นพระก็ วันนี้ไม่สะดวกสบาย วันพรุ่งนี้เราค่อยทำความพากเพียร วันนี้รู้สึกเหนื่อย นอนพักสักนิดนึง สักงีบนึง แล้วค่อยเดินจงกรม นั่งสมาธิ พอกิเลสร่ายมนต์ได้ไม่ถึง ๒ จบ ฟังเสียงล้มลงถึงหมอนเหมือนฟ้าถล่ม แล้วก็ดังครอกๆ นี่กิเลสฆ่าคน กิเลสทำลายคนทำลายอย่างนี้ ทำลายธรรมของผู้ต้องการธรรม ของผู้มุ่งหวังธรรมก็ทำลายอย่างนี้ นักธรรมะ นักต่อสู้กับกิเลส ในแนวทางแห่งความเป็นลูกศิษย์มีครู ต้องเป็นผู้อดทน ต้องเป็นผู้มีความเพียร ต้องเป็นผู้เรียนวิชารอบรู้กลมายาของกิเลสให้รอบคอบขอบชิด ด้วยสติปัญญาศรัทธาความเพียรของตน กิเลสจะยอมลงไปโดยลำดับ

กิเลสร้องห่มร้องไห้ เหมือนกับคนจะตาย หรือญาติวงศ์ของตนจะตายจากกันด้วย ตนจะตายด้วย ปู่ ย่า ตา ยาย ของกิเลสทั้งหลายก็จะตายด้วย โคตรแซ่ของกิเลสซึ่งเคยเป็นมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ อยู่บนหัวใจของผู้ใดก็ตาม ด้วยความสนุกสนานแต่ก่อน ก็จะล้มหายตายจากกันไป กิเลสทั้งหลายมีความครวญคราง วุ่นวายกันสนั่นหวั่นไหวไปทั่วโลกธาตุ เพราะอำนาจแห่งความเพียรของลูกศิษย์ตถาคต อันปรากฏเด่นด้วยความอดความทน ปรากฏเด่นด้วยความกล้าหาญชาญชัย ปรากฏเด่นอยู่ด้วยสติปัญญาศรัทธาความเพียร ความสามารถฉลาดรู้ทุกแง่ทุกมุม ตามทันกิเลสฟาดฟันหั่นแหลก

ตายอยู่ทุกแห่งทุกหน ในทางจงกรมกิเลสก็ตายเกลื่อน นั่งสมาธิภาวนา ที่นั่งสมาธิภาวนากิเลสก็ตายเกลื่อน ที่นอน หมอน มุ้ง ก็กิเลสตายเกลื่อน ด้วยความพินิจพิจารณา อยู่ที่ไหนที่ขบที่ฉัน มีแต่ซากของกิเลสเต็มไปหมด แต่ไม่ต้องเผาศพให้ลำบาก เพราะอำนาจแห่งความเพียรสังหาร สำคัญที่สุดก็คือสติกับปัญญา เป็นเครื่องมืออันทันสมัยมาแล้วตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าของเรา ไม่เคยล้าสมัยจนบัดนี้ กิเลสจึงไม่กลัวสิ่งใดนอกเหนือไปจาก มัชฌิมาปฏิปทาคือธรรมของพระพุทธเจ้า กิเลสเคยตายเคยฉิบหายวายปวงไปเพราะธรรมของพระพุทธเจ้า มีจำนวนมากมาแล้ว

บรรดาพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ และสาวกของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์นั้น ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นผู้สังหารกิเลส ให้วอดวายตายจากใจไปหมด ไม่มีกิเลสตัวใดเหลือ นับตั้งแต่ตัวกิเลสถึงโคตรถึงแซ่ ปู่ ย่า ตา ยาย มาตั้งกัปตั้งกัลป์ ได้ม้วนเสื่อลงไปเรียบวุธไม่มีเหลือ เพราะอำนาจแห่งธรรมของพระพุทธเจ้า ด้วยเหตุนั้นกิเลสจึงต้องกลัว กลัวนักปฏิบัติผู้เป็นเช่นนี้ พระพุทธเจ้าเป็น พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ของเราท่านทำอย่างนี้ ท่านฆ่ากิเลสด้วยวิธีนี้ ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์พุทโธ เป็นศาสดาองค์เอกได้ด้วยอำนาจแห่งธรรม เครื่องประหัตประหารกิเลส ให้ตายเรียบไปจากใจไม่มีเหลือ จิตใจเตียนโล่ง เหลือแต่ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ เท่านั้น เมื่อกิเลสได้ดับลงไปแล้ว ไม่มีอันใดเป็นเครื่องก่อกวน ชวนให้รับความลำบากรำคาญภายในจิตเลย เพราะอำนาจแห่งธรรม มีมัชฌิมาปฏิปทา เป็นต้น

คำว่า มัชฌิมาปฏิปทานั้น มีหลายขั้นหลายตอน ผู้ที่ไม่เข้าใจมัชฌิมาก็กรุณานำไปพินิจพิจารณาเสียบ้าง คำว่ามัชฌิมาปฏิปทานั้น เป็นธรรมที่เหมาะสมกับการปราบกิเลสทุกประเภท ไม่มีกิเลสประเภทใดที่จะเหนือมัชฌิมาปฏิปทาของพระพุทธเจ้าไปได้เลย คำว่ามัชฌิมานั้นกับกิเลสมีหลายขั้นหลายภูมิ กิเลสประเภทที่ผาดโผนโลดเต้น ประเภทที่โหดร้ายทารุณ ประเภทที่เหนียวแน่นแก่นกิเลสจริงๆ มีอยู่เยอะ เราจะเอาวิธีไหนไปใช้กับกิเลสประเภทนี้ เมื่อกิเลสประเภทนี้มีแต่ความผาดโผนโลดเต้น มีแต่ความโหดร้ายทารุณ เราต้องใช้ธรรมะประเภทผาดโผนโลดเต้น โหดร้ายทารุณต่อกิเลส ฟาดฟันหั่นแหลก ทั้งที่อยู่ที่เดินที่นั่งที่นอน ไม่มีกลางคืนกลางวัน มีสติปัญญารอบตัวอยู่ตลอดเวลา นั้นแลทันกับกิเลสประเภทที่มันผาดโผนโลดเต้น แล้วกิเลสก็หมอบราบไปด้วยอำนาจแห่งธรรมนี้

กิเลสมีความละเอียดแหลมคมเข้าไปเพียงไร สติปัญญาก็มีความละเอียดแหลมคม ตามกันไป ขุดค้นกันลงไป ฆ่ากันลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงมหาสติมหาปัญญา ในครั้งพุทธกาลท่านเรียกอย่างนั้น คำว่า มหาสติมหาปัญญา เป็นสิ่งที่ใหญ่โตมาก เป็นที่มีความสามารถมาก สติสามารถมาก ปัญญาสามารถมาก หยั่งทราบได้ทุกแห่งทุกหน ทั้งกว้างแคบลึกตื้น หยาบละเอียด สติปัญญานี้หยั่งทราบได้หมด กิเลสจะแทรกซ้อนอยู่ในสถานที่ใด สติปัญญานี้ตามขุดค้นมาฆ่าฟันหั่นแหลกจนไม่มีสิ่งใดเหลือ ผลสุดท้ายก็เหลือแต่ดวงใจที่บริสุทธิ์ เป็นอิสระเต็มตัว

นี่เรียกว่าบรรลุธรรมถึงขั้นสุดยอดด้วยอำนาจแห่งมัชฌิมาปฏิปทา เครื่องมือที่ทันสมัยปราบปรามกิเลสให้เรียบวุธลงไปหมด ธรรมเหล่านี้ ฟังแต่คำว่ามัชฌิมาปฏิปทาเถิด ไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีสาย ไม่มีบ่ายไม่มีเย็น ไม่มีกาลโน้นกาลนี้ เช่นเดียวกับกิเลสไม่มีกาลไหนๆ แต่อยู่บนหัวใจของสัตว์โลกตลอดมา ธรรมะนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน เมื่อนำมาปราบกิเลสประเภทใดก็ตาม ย่อมสามารถที่จะฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลสนั้นให้ฉิบหายตายพินาศไปได้โดยลำดับๆ จนกระทั่งไม่มีกิเลสใดเหลือหลออยู่ภายในใจ พอเป็นพืชเป็นพันธุ์ให้เกิดแก่เจ็บตายได้อีกเลย นี่ท่านเรียก มัชฌิมา

ไม่ใช่ว่ามัชฌิมาเดินท่ามกลาง เดินไปพอดีพองาม มัชฌิมาปฏิปทา ปฏิบัติพอดีพองาม ไม่ยิ่งนักไม่หย่อนนัก ส่วนมากคำว่า ไม่ยิ่งนักไม่หย่อนนักของเรานี้ มันเป็นมัชฌิมาของกิเลสต่างหาก ไม่ใช่มัชฌิมาของธรรม คำว่ามัชฌิมาของกิเลสเป็นอย่างไร ดังที่ได้อธิบายแล้วเบื้องต้นนั้น จะเดินจงกรมนั่งสมาธิ สักเล็กสักน้อย ๑๐ นาที ๑๕ นาที ก็กลัวแต่จะเป็นจะตาย เดี๋ยวจะเคร่งเกินไป เดี๋ยวร่างกายลำบาก แล้วก้าวหน้าไม่ถึงหลัง เราพักผ่อนค่อยเป็นค่อยไปนี้แหละเรียกมัชฌิมา จะทำมากกว่านี้จะเคร่งเกินไป นี่กิเลสมันแต่งให้ ทางมัชฌิมานี้เป็นมัชฌิมาของกิเลส นอกจากนั้นก็ไม่ได้อะไร

นั่งภาวนาก็จิตใจเถ่อเหม่อมองไปทางไหนก็ไม่รู้ อารมณ์อดีตตั้งกัปตั้งกัลป์ ก็นำมาเคล้ามาคลึง มาคิดมาอ่าน ให้ยุ่งไปหมด แล้วอนาคตอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ โดดลมโดดแล้งไปคว้านั้นคว้านี้ไม่ได้เรื่องอะไร พอย้อนเข้ามาสู่จิตก็ได้ ๑๐ นาทีเสียแล้ว โห นี่เรานั่งภาวนาได้ตั้ง ๑๐ นาทีไม่เห็นได้อะไร ก็จะได้อะไร เราไม่ได้หาอรรถหาธรรม เราหาแต่เรื่องอดีตอนาคตซึ่งเป็นอารมณ์ของโลกภายในจิตใจของเรา ที่เคยยึดเคยถือมาแล้วตั้งแต่กาลก่อนโน้น เราไม่ได้หาอรรถหาธรรม ธรรมไม่อยู่ที่อดีต ธรรมไม่อยู่ที่อนาคต แต่ธรรมอยู่ที่ปัจจุบันธรรม มีสติสตังกำกับหน้าที่การงานของตน เช่น ภาวนาอานาปานสติ ก็ให้รู้อยู่กับบทธรรมคือ อานาปานสตินี้เท่านั้น ผลก็ปรากฏเป็นความสงบเย็นขึ้นมา

แต่นี้เราไม่ได้ทำอย่างนั้น ปล่อยไปตามอารมณ์ นั่งภาวนาก็นั่งพาตัววนไปหมด วนวุ่นไปโน้น วุ่นไปนี้ ไม่ใช่นั่งภาวนา มันนั่งวุ่น นั่งคิดในสิ่งที่จะเป็นกิเลส เสริมกิเลสขึ้นมาภายในใจ พอย้อนเข้ามาสู่จิตใจก็มาทวงคะแนนจากธรรม นี่เรานั่งนาน ตั้งหลายนาที ๑๐ นาที ๒๐ นาที หรือตั้งชั่วโมง ไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร นอนเสียดีกว่า นั่น สุดท้ายก็เห็นหมอนดีกว่าธรรม แล้วนอนเสียดีกว่า ถ้ามันดีกว่าแล้ว ทั้งโลกเขานอนกันทั้งนั้น หมอนมีไม่มีนอนได้ทั้งนั้นคนเรา ทำไมจึงไม่เลิศไม่ประเสริฐ เท่านี้เราก็ไม่คิดมาแก้กิเลส จะทันกิเลสได้อย่างไร

ผู้ปฏิบัติเพื่อทันกิเลส ต้องพิจารณาในแง่ต่างๆ ให้ทันกับกลมายาของกิเลส กิเลสมันแหลมคมมาก ถ้ากิเลสไม่แหลมคม ไม่สามารถที่จะเป็นเจ้าครองโลกอยู่ในหัวใจของสัตว์ได้เลย จึงไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถกำจัดกิเลส หรือปราบกิเลสนี้ให้อยู่ในเงื้อมมือได้ นอกจากธรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้นกิเลสจึงกลัวธรรม ในโลกนี้กิเลสไม่กลัวอะไร ความโลภก็กลัวธรรม ความโกรธก็กลัวธรรม ความหลงก็กลัวธรรม ราคะตัณหา ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วไม่ว่าประเภทไหนกลัวธรรมกันทั้งนั้น ทั้งโคตรทั้งแซ่ของกิเลส ไม่มีรายใดตัวใด ที่จะมาอาจหาญต่อสู้กับธรรมให้พินาศฉิบหายวายปวงไปได้ นอกจากกิเลสเสียเองเป็นผู้พินาศฉิบหาย จึงต้องกลัวกันมาแต่กาลไหนๆ

แต่เราไม่นำสิ่งที่กิเลสกลัวมาสู้กับกิเลส เอาแต่สิ่งที่กิเลสชอบอันเป็นอาหารเอร็ดอร่อยของกิเลส มาถวายให้กิเลส มายื่นให้กิเลสสับเอายำเอาทุกวัน สับอยู่ในทางจงกรม สับอยู่ในที่นั่งภาวนา สับอยู่ที่หมอน สับอยู่ทุกอิริยาบถ มีแต่ความเผลอ มีแต่ความไม่มีสติ มีแต่ความคิดเรื่องอดีต อนาคต วุ่นวายไปหมด เป็นเรื่องของโลกล้วนๆ ไม่ใช่เรื่องของธรรม ซึ่งเป็นอาหารของกิเลส กิเลสชอบอย่างนี้ นี่ละกิเลสแหลมคมอย่างนี้เอง หลอกลวงคนนี้เก่ง

เรายังไม่เคยมีหลักธรรมเป็นเครื่องยึด จึงต้องถูกหลอกลวงต้มตุ๋นของกิเลสเรื่อยๆ โดยเข้าใจว่าความคิดนั้นดี ความคิดนั้นถูกต้อง ความคิดนั้นเป็นทางให้เราผ่อนหนักผ่อนเบาได้ ความคิดนั้นบรรเทาทุกข์เราได้ เช่น นอนเสียสบายดี การงานก็จะเป็นไปด้วยความสะดวกราบรื่นในวันต่อไป มีตั้งแต่กลมายาของกิเลสทั้งนั้น แล้วก็ว่าตนภาวนา มันภาวนาอะไร แม้ตั้งแต่กลมายาของกิเลสแง่เดียวเราก็ไม่ทันมันแล้ว เราจะหาอรรถหาธรรม อันเป็นสิ่งที่ดียิ่งกว่ากิเลสมาครองใจได้อย่างไร

เพราะฉะนั้นจึงต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการ ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ดังพระองค์ท่านทรงดำเนินมาแล้ว เราก็ทราบแล้วในประวัติดังที่อธิบายให้ฟังนี้ นอกจากนั้นสาวกทั้งหลาย ทั้งเป็นพระราชา มหากษัตริย์ เศรษฐี กุฎุมพี พ่อค้าประชาชนคนธรรมดา ใครออกมาจากสกุลใดแล้ว มาบวชด้วยความเชื่อความเลื่อมใสต่อพระโอวาทของพระพุทธเจ้า เสด็จแบบว่าตัดหางปล่อยไปเลย ไม่มีบัญชีดีชั่วเป็นตาย ไม่มีใบตายแหละ มอบใบตายให้อย่างนั้นอย่างนี้ไม่มี เจ้าของรับใบตายไปเอง ตายอยู่กับธรรม มอบบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยการเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา หาที่หลบซ่อนผ่อนคลายตัวเอง อยู่ในป่าในเขา ในรุกขมูล ร่มไม้ สถานที่เหมาะสมสำหรับพระ ตั้งหน้าตั้งตาฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลสทุกอิริยาบถ

ไม่ว่ายืน ว่าเดิน ว่านั่ง ว่านอน ว่าขบฉันประการใดๆ มีสติปัญญาติดตัวแนบสนิท กิเลสก็เข้าไม่ติด แม้กิเลสที่มีอยู่แล้วก็ค่อยจางหายไป ค่อยหมดไป สลายลงไปเรื่อยๆ เพราะอำนาจของสติปัญญากำจัดปัดเป่าออกไปเรื่อยๆ แล้วกิเลสตัวใหม่จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เมื่อสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร เข้าครองใจอยู่แล้ว กิเลสเข้าไม่ถึง สิ่งที่จะเกิดขึ้นมาใหม่ ก็เกิดไม่ได้ ผลของท่านก็ว่า องค์นั้นสำเร็จพระโสดา องค์นั้นสำเร็จพระสกิทาคา องค์นั้นสำเร็จพระอนาคา องค์นั้นสำเร็จพระอรหันต์ อยู่ในป่านั้น อยู่ในเขาลูกนั้น แน่ะ พวกเรามันมีแต่สำเร็จชั้นกอนแล้วนิน คำว่ากอนแล้วนิน พากันเข้าใจไหม กอนแล้วนินแปลว่ากินแล้วนอน นี้มันสำเร็จอย่างนี้ มันสำเร็จมาเสียนมนานอันนี้ จนกระทั่งมันติดนิสัยสันดานเราเอง ไม่เคยคิดว่าอันอื่นจะดียิ่งกว่ากอนแล้วนิน กินแล้วนอน อันวิชาประเภทนี้

เราเป็นนักปฏิบัติ เราต้องพิจารณาถึงองค์ศาสดา อย่าเพียงแต่ว่า พ่นด้วยน้ำลายเฉยๆ ว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เท่านั้น ให้เข้าถึงจิตถึงใจ พึ่งเป็นพึ่งตายพระพุทธเจ้า แล้วฝากเป็นฝากตายด้วยข้อวัตรปฏิบัติ ด้วยความเชื่อความเลื่อมใสตามหลักธรรม ไม่มีอันใดที่จะมีความแน่นอนยิ่งกว่าหลักธรรมที่พระองค์ท่านทรงสั่งสอนไว้แล้ว ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมาจนกระทั่งบัดนี้ ไม่มีเคลื่อนคลาดิ คงเส้นคงวา ก็คือมัชฌิมาปฏิปทา คงเส้นคงวาต่อมรรคผลนิพพานอยู่ตลอดเวลา กิเลสกลัวถ้าใครได้ถือมัชฌิมาปฏิปทาแบบศาสดา ถ้าถือมัชฌิมาปฏิปทาแบบกิเลสแล้ว กิเลสก็หัวเราะ นี่เป็นหลักอันสำคัญ

จิตเป็นสิ่งที่ฝึกฝนอบรมได้ ทุกสิ่งทุกอย่างแม้หน้าที่การงานต่างๆ เรายังฝึกได้ เช่น เราฝึกงานๆ ทีแรกไม่ชำนาญ เขียนหนังสือเขียนแล้วลบ ลบแล้วเขียน ไม่เป็นตนเป็นตัว เขียนหลายครั้งหลายหนก็มีความชำนิชำนาญ สุดท้ายหลับตาเขียนก็ได้ แต่เวลาจะอ่านต้องลืมตา ไม่ลืมตามองไม่เห็นตัวหนังสือ แน่ะ นี่คือความชำนาญ

การฝึกฝนจิตใจของเรา ก็เช่นนั้นเหมือนกัน นี่เราพูดถึงภาคปฏิบัติ ให้ท่านผู้ฟังทั้งหลายได้เข้าใจวิธีการปฏิบัติบำเพ็ญตัวเอง เพื่อความเป็นผู้มีสิริมงคล เป็นผู้มีสง่าราศีภายในจิตใจ หรือเรียกว่าธรรมสมบัติ ให้มีธรรมครองใจ อย่าให้มีแต่กิเลสประเภทเดียวครองใจ จะเกิดความรุ่มร้อนวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา โดยไม่เลือกชาติชั้นวรรณะใดๆ เพราะกิเลสมีอยู่ทุกหัวใจ ย่อมยุแหย่ก่อกวน ทำคนให้ได้รับความทุกข์ความลำบากทั่วๆ ไปได้ ไม่ขึ้นอยู่กับความมั่งมีดีจน โง่ฉลาดอันใดเลย แต่ขึ้นอยู่กับผู้มีธรรมหรือผู้ไม่มีธรรม

เช่นเดียวกับโรค ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย มีหยูกยาเป็นเครื่องกำกับรักษา ค่อยพอบรรเทาไปได้ หรือหายไปได้ โรคนอกจากโรคหวัดแล้ว มักจะหายโดยลำพังตนเองได้ยาก ต้องอาศัยหยูกยาอาศัยหมอ เฉพาะอย่างยิ่งโรคกิเลส ถ้าเกิดขึ้นมาแล้วมักไม่หาย มีแต่ความฝังจมลงไปโดยลำดับ ฝังรากแก้วรากฝอยลึกลงไปๆ ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องถอดถอน ไม่มีธรรมเป็นเครื่องรื้อฟื้น ตัดให้ขาดออกไปแล้ว กิเลสยิ่งจะหยั่งรากแก้วรากฝอยลงไปลึกแสนลึก ถอนไม่ขึ้น จึงต้องอาศัยหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ผู้มีธรรมภายในใจจึงเป็นเหมือนคนที่มีโรค แต่มียามีหมอประจำ ผู้นั้นมีทางที่จะหายไปได้ ไม่สุดวิสัย นอกจากประเภทปทปรมะ คือมืดแปดทิศแปดด้าน ถ้าเป็นคนไข้ ก็มีแต่คอยจะเข้าอยู่ห้องไอซียู ไม่สนใจกับหยูกยากับหมอทั้งนั้น ยาจะวิเศษขนาดไหน หมอจะมีความรู้ความฉลาดขนาดไหน โรคประเภทนี้ไม่สนใจ นอกจากห้องไอซียูเท่านั้น ที่โรคนี้จะต้องการอย่างยิ่ง ประเภทที่ปทปรมะก็เป็นเช่นนั้น คำว่าบาปว่าบุญว่าคุณว่าโทษ นรกสวรรค์ ไม่สนใจ ทำตั้งแต่เรื่องที่จะเป็นบาป เป็นกองทุกข์ ที่จะให้ก้าวเข้าสู่นรกอเวจี ที่ตนว่าไม่มีนั่นแล นั้นแลสิ่งที่เป็นภัยต่อผู้ว่าไม่มี

เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ไม่ขึ้นอยู่กับความสำคัญมั่นหมายของผู้ใด จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ใครจะลบล้างสิ่งที่มีอยู่นั้นย่อมลบล้างไม่ได้ เพราะมีอยู่เป็นของจริงมาดั้งเดิม ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าองค์ใดก็ตาม ตรัสรู้ธรรมมาแล้ว ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ใดที่จะขาดพระเมตตา อันเปี่ยมล้นสำหรับสัตว์โลกทั้งหลาย หากว่าเป็นสิ่งที่พอเป็นไปได้แล้ว พระพุทธเจ้าองค์ใดก็ตาม เมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ก็ลงไปทำลายหม้อนรกให้มันแตกฉิบหายไปหมด บาปทำลายออกหมดจากสัตว์โลก ไม่ต้องให้สัตว์โลกได้รับความลำบากลำบน ด้วยการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เพื่อบุญเพื่อกุศลเป็นเครื่องลบล้างสิ่งที่ชั่วทั้งหลายนั้นเลย พระองค์จะทรงลบล้างให้เอง

ล้างออกหมดนรกมีกี่ขุม ทำลายออกให้แหลกละเอียดไม่มีเหลือ บาปมีอยู่ภายในใจของสัตว์โลก ทำลายออกให้มันหมดไปเลย หากเป็นสิ่งที่ลบล้างได้ ทำลายได้ด้วยพระพุทธเจ้า แต่นี้เป็นไปไม่ได้ สิ่งเหล่านี้มี เช่นเราเดินทางไป นี้หัวตอขวางทางอยู่นั้นน่ะ หินโสโครกอยู่ที่กลางทางนั้นน่ะ จะทำอย่างไร เอา หลีกเอา ถ้าคนตาดีแล้วก็หลีก ก็ไม่โดนหินโสโครก ไม่โดนสะดุด หัวแม่เท้าก็ไม่แตก แต่ผู้ที่เข้าใจว่าหินโสโครกไม่มี สะดุดไม่มี ผู้นั้นมักจะเป็นภัยต่อตัวเอง ด้วยการโดนสะดุด หรือเหยียบขวากเหยียบหนาม คนเหยียบขวากเหยียบหนาม ชนโน้นชนนี้ ย่อมเข้าใจว่าสิ่งนั้นไม่มี เพราะความประมาทของตน ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นมันก็มีอยู่อย่างนั้น จึงไปโดนเอาๆ

เรื่องคำว่าบาปก็ดี คำว่านรกก็ดี คำว่าสวรรค์นิพพานก็ดี เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วดั้งเดิม ไม่มีใครสามารถฉลาดรู้ได้เหมือนพระพุทธเจ้า ทรงหยั่งทราบด้วยพระญาณ ไม่มีสิ่งใดสงสัย เห็นประจักษ์แล้วจึงนำสิ่งเหล่านี้มาสอนโลก ทั้งวิธีหลีกเลี่ยง เช่น บาปให้พากันพยายามละ ปหานปธาน.ให้ถึงพร้อมด้วยการละสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เป็นโทษแก่ตนเอง แน่ะ ท่านก็สอนอย่างนั้น แล้วให้พยายามบำเพ็ญ สิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ เป็นสิริมงคลแก่ตน คือบุญคือกุศล

คนเราถ้ามีบาปมาก นรกนั้นน่ะเราจะว่าไม่มีก็ตาม จะว่าเพียงไรก็ไม่ขึ้นอยู่กับคำว่าไม่มี เพราะคำว่าไม่มีนี้ ไม่มีด้วยความรู้เห็นจริงๆ แต่ไม่มีด้วยความบอดหนวกของตนเอง แล้วก็ไม่พ้นที่จะไปนรกจนได้ ผู้ที่ว่านรกไม่มี ผู้ที่ว่าบาปไม่มีนั้นแลคือคลังแห่งบาป คลังแห่งนรกอยู่กับหัวใจดวงนั้น อยู่กับคนๆ นั้น ผู้นั้นแลผู้ที่จะไปตกนรก ผู้ที่ว่านรกไม่มี ผู้ที่จะหาบบาปหนักที่สุดก็คือ ผู้ที่ว่าบาปไม่มีนั้นแล เพราะสร้างแต่บาป ก้าวเข้าสู่แต่นรกอย่างเดียว ผู้ที่เชื่อว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี ผู้นั้นเป็นผู้ขยะแขยง สิ่งที่ควรละย่อมละไปโดยลำดับ ละได้จนกระทั่งบาปไม่มีภายในใจ แล้วนรกก็ไม่ไป

คำว่าสวรรค์มี มีความกระหยิ่มยิ้มย่อง บำเพ็ญคุณงามความดี ควรจะได้ถึงขั้นไหนเอ้าไป ดำเนินไป ผู้นี้มีสุคโตเป็นที่หวังไปโดยลำดับๆ จนกระทั่งสามารถอาจรู้ถึงธรรมขั้นสูงสุดคือ วิมุตติพระนิพพานประจักษ์กับใจของตนเองแล้วหายสงสัย ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่เคยหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงมากี่ภพกี่ชาติ ได้ถูกลบล้างลงแล้วด้วยมัชฌิมาปฏิปทา คือธรรมของพระพุทธเจ้าที่เรานำมาบำเพ็ญ สุดท้ายก็เป็นคนประเสริฐขึ้นมาได้

ใจเป็นสิ่งที่ฝึกฝนอบรมได้ แม้เราเป็นฆราวาสก็ตาม ความประพฤติตนให้เป็นคนพอเหมาะพอสม มีขอบมีเขต มีเหตุมีผล มีเขตมีแดนนั้นเป็นสิ่งที่งามตา สมกับชื่อของชาวพุทธ รู้จักวิธีรักษาตัว บำเพ็ญตัว งานทางโลกทางสงสารก็ไม่ให้ขาด เราต้องทำเพราะธาตุขันธ์เป็นสิ่งที่มีความบกพร่องต้องการสิ่งที่เยียวยาอยู่เสมอ อยากหลับ อยากนอน อยากดื่ม อยากรับประทาน ว่าอย่างไร แล้วเมื่อไม่ทำจะเอาอะไรมารับประทาน บ้านไม่มีจะเอาอะไรมานอน หมอนไม่มีจะเอาอะไรมาหนุน เวลาหนาวๆ ขึ้นมา ผ้าห่มไม่มีจะเอาอะไรมาห่ม เราต้องได้เสาะแสวงหามา เพื่อเยียวยาสิ่งที่บกพร่องมันต้องการอยู่ตลอดเวลานี้จนได้ งานนี้ก็เป็นจำเป็นสำหรับธาตุขันธ์

งานบุญงานกุศล งานจิตตภาวนาที่เราจะบำเพ็ญจิตให้มีความสงบร่มเย็น อันนี้เป็นงาน หรือเป็นโอชารส หรือเป็นอาหารของใจ ก็อย่าให้ขาด อาหารของร่างกาย ที่พึ่งของกาย ได้แก่ ข้าว น้ำ โภชนะอาหาร ที่อยู่ ที่อาศัย ก็ให้มี อาหารของใจ หรือที่พึ่งของใจ คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ทาน ศีล ภาวนา ก็ให้มี ใจก็ได้ที่พึ่ง ใจก็ได้หลัก ใจก็ได้อาหาร ใจก็ได้ที่ยึด ร่างกายก็มีที่ยึดมีที่อาศัย คนนั้นย่อมไม่ลำบาก ทั้งมีธาตุมีขันธ์ ความเป็นอยู่ในเวลานี้ ตลอดเวลาพลัดพรากจากธาตุจากขันธ์อันนี้ไปแล้ว เราก็อาศัยกองบุญกองกุศล สุคโตเป็นที่หวังได้ นี่สำหรับคนไม่ประมาท คนมีความฉลาด มองดูให้เห็นการณ์ไกล เรื่องภพนี้ภพหน้า

เพราะคำว่าภพว่าชาติ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้มีอยู่กับทุกคน ใครจะปฏิเสธอย่างไรว่าตายแล้วสูญก็ตาม มันสูญตั้งแต่คำพูดนั้นแหละ มันสูญแต่ความสำคัญเท่านั้น แต่ธรรมชาติแห่งความจริงจริงๆ แล้วมันสูญไม่ได้ เราเป็นนักเกิด สูญมาได้อย่างไร ถ้าหากว่าตายแล้วสูญ สัตว์ทั้งหลายมาเกิดในโลกได้อย่างไร ตัวเรามาเกิดในโลกนี้ได้อย่างไร ถ้ามันสูญมันต้องสูญไปหมด ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็สูญ จิตใจของเราก็สูญ

คำว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ ได้แก่ สิ่งที่ผสมอยู่ในธาตุขันธ์ของเรานี้ ส่วนใหญ่ก็มีธาตุ ๔ คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ มาผสมกันเข้าเป็นก้อน มีจิตวิญญาณเข้าไปอาศัย แล้วก็จับจองเป็นเจ้าของ เป็นผู้รับผิดชอบในส่วนร่างกาย เกิดขึ้นมาเป็นคน เป็นหญิง เป็นชาย เพราะอำนาจแห่ง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นเชื้อให้พาเกิด เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะลบล้างอะไรไม่ให้มันเกิดได้ล่ะ ถ้าไม่ลบล้างอวิชชาอันเป็นตัวเชื้ออยู่ภายในใจให้ออกหมดแล้ว อย่างไรก็เกิดวันยังค่ำ เกิดทุกรูป เกิดทุกนาม

หากว่าเรายังไม่สามารถฉลาดรู้ที่จะลบล้างอวิชชานี้ได้ เราก็พยายามบำเพ็ญคุณงามความดีของเรา ให้ได้เกิดในสถานที่ดี คติที่เหมาะสม ทุกภพทุกชาติไป จนกระทั่งมีความสามารถฉลาดรู้เต็มที่แล้ว ลบอวิชชาออกจากจิตใจเสียเลยแล้วก็ ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส อันเรื่องเกิดบ่อยๆ ทุกข์บ่อยๆ นี้เป็นอันว่าหมดกันไปเสียที วัฏจักรหมุนอยู่ที่ใจ พาให้เกิด แก่ เจ็บ ตาย หมดไปแล้ว ตัดสินกันขาดแล้วระหว่างวัฏจักรกับเรา เดี๋ยวนี้เป็นวิวัฏจักรขึ้นมาแล้ว อิสระเสรี

ธรรมของพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างแท้จริง พระพุทธเจ้าเป็นแล้วอย่างนี้ รู้แล้วอย่างนี้ เห็นแล้วอย่างนี้ เป็นผู้วิเศษแล้วด้วยวิธีการเหล่านี้ จึงได้มาอบรมสั่งสอนพวกเรา เราจึงไม่ใช่โมฆบุรุษ โมฆสตรี ได้ธรรมอันวิเศษวิโสของพระพุทธเจ้ามาครองใจ ขอให้นำธรรมนี้เข้าไปประดับตกแต่งจิตใจของเราให้สวยให้งาม ให้งามทั้งมารยาทคือ ความประพฤติ งามทั้งจิตใจ มีศีลมีธรรม มีความเมตตาสงสาร เห็นใจซึ่งกันและกัน มนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน เพราะเราเป็นสัตว์ขี้ขลาด อยู่คนเดียวไม่ได้

มนุษย์ไปอยู่ที่ไหน ต้องมีหมู่มีพวก ตั้งบ้าน ตั้งเรือน ตั้งตำบล อำเภอ จนกระทั่งจังหวัด ประเทศเขตแดน เต็มไปหมด เพราะมนุษย์ขี้ขลาด อยู่ด้วยตนเองไม่ได้ เมื่ออยู่ด้วยกันแล้ว ก็อย่าทำการเบียดเบียน เอารัดเอาเปรียบ ขี้คดขี้โกง รีดไถคนอื่น โดยที่เห็นเขาเหมือนกับสุนัขตัวหนึ่ง เป็นคนหรือเป็นเทวดาเฉพาะเราคนเดียวนั้นมันลำบาก มันผิดธรรมของพระพุทธเจ้า เราจะสร้างความสุขของเรา อยู่บนหัวคนที่มีกองทุกข์ทั่วโลกนี้เป็นไปไม่ได้ จะมีสุขแต่เราคนเดียว ให้คนอื่นได้รับความทุกข์ความลำบากเสียหมดนี้ มันเป็นไปไม่ได้ เขาก็สุขบ้าง เราก็สุขบ้าง เขาทุกข์บ้าง เราทุกข์บ้าง ต่างคนต่างอาศัยกัน เห็นคุณค่าของกันและกัน เท่ากันแล้วอยู่ด้วยกันสบาย  มีการให้อภัยกันได้มนุษย์เรา และมีการเสียสละกันได้ แล้วก็อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก

นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้า ในระหว่างแห่งมนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน ก็ปฏิบัติกันให้ถูกต้อง ระหว่างสามี ภรรยา ก็เหมือนกัน อย่าดักหน้าดักหลัง เป็นขโมย สามีก็เป็นขโมยไปแบบหนึ่ง ภรรยาก็ขโมยไปแบบหนึ่ง ไว้เนื้อไว้ใจกันไม่ได้ เพียงลับต้นไม้ต้นเดียวก็ไปแล้ว เถลไถลไปหาอาหารว่าง ยุ่งไปหมด แฟนโน้นแฟนนี้ ไปที่ไหนมีแต่แฟนเต็มบ้านเต็มเมือง แฟนเต็มบ้านเต็มเมืองนั้น เขาเรียกสุนัข สุนัขมันไม่เลือกละ มันมีกี่ตัวก็ไม่ทราบ เมียของมัน ผัวของมัน เต็มเกลื่อนไปในตลาด เราดูเอา

เราไม่ใช่สุนัข ผัวต้องเป็นผัว เมียต้องเป็นเมีย เป็นของเราคนเดียวเท่านั้น เมียก็ต้องทราบตัวเองว่า เรามีผัวเพียงคนเดียว ผัวก็ต้องทราบตนเองว่า เรามีเมียเพียงคนเดียวเท่านั้น นอกนั้นมีหญิงตั้งหมื่นตั้งแสนตั้งล้านไม่สำคัญ ไม่ใช่เมียของเรา ผู้ชายมีตั้งหมื่นตั้งล้าน ไม่สำคัญไม่ใช่ผัวของเรา ไม่ใช่เมียของเรา เพียงเท่านี้คนเราก็ไว้ใจตัวเองได้ เมื่อไว้ใจตัวเองได้แล้วก็ไว้ใจซึ่งกันและกันได้ ไปเถอะ จะไปทำงานในบ้านนอกบ้าน ไปที่ไหน ไป มีความผาสุกสบายด้วยกันทั้งสองฝ่าย ผลรายได้เกิดขึ้นมา ก็นำมาครองชีพให้ได้รับความผาสุกร่มเย็น

นี่คือธรรมของพระพุทธเจ้า ทำบุคคลให้มีความไว้วางใจซึ่งกันและกันได้ นับตั้งแต่สามีภรรยาขึ้นไป จนกระทั่งส่วนรวมส่วนใหญ่ เราดูซิในวัดเขาน้อยสามผานนี่ เราเคยเห็นไหม สัตว์ป่ามากลายเป็นสัตว์บ้าน ไก่ป่ามากลายเป็นไก่บ้าน เราเห็นไหม เพราะอำนาจแห่งธรรมสมัครสมานไปได้หมด ให้ความสำคัญแก่สัตว์ทุกตัวสัตว์ ให้ความสนิทสนมแก่ทุกตัวสัตว์ สัตว์ทั้งหลายเขาก็รู้ เขายังรู้ว่าเราอยู่สถานที่นี้เย็น คนอยู่สถานที่นี้คือคนเช่นไร คนมีธรรม คนก็เป็นคนเย็น สัตว์ก็มาอาศัยเต็มไปหมด ยั้วเยี้ย ตอนเช้าตอนเย็นให้อาหารกินเหมือนสัตว์บ้าน เราเคยเห็นไหมนี่ เห็นต่อหน้าต่อตาอย่างนี้ จะว่าธรรมพระพุทธเจ้าโกหกคนได้อย่างไร

นี่ละธรรมคือความร่มเย็น ไว้วางใจได้จนกระทั่งถึงสัตว์ ถ้าใครมีธรรมเป็นอย่างนี้ อยู่ด้วยกันด้วยความผาสุก สัตว์ก็มาอยู่ด้วยความผาสุก แล้วจงพยายามนำธรรมนี้ เข้าไปสู่จิตใจ ให้จิตใจมีความอ่อนโยน มีความนิ่มนวลแก่ตนเอง แล้วก็มีความสุข ความสำราญบานใจ ทั้งปัจจุบันที่เป็นไปอยู่นี้และอนาคต ที่อย่างไรก็จะต้องประสบเช่นเดียวกับวันนี้ และก็จะเป็นวันพรุ่งนี้ต่อมาโดยลำดับ ชาตินี้แล้วก็จะเป็นชาติหน้า

อย่าให้เสียท่าเสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนาอันเป็นของเลิศของประเสริฐ ให้ได้นำมาครองใจของพวกเราทั้งหลาย ชื่อว่ามนุษย์นี้เป็นชาติที่สูงสุดกว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ตามคำเสกสรรปั้นยอตนจริงๆ ไม่สักแต่ว่าชื่อมนุษย์เฉยๆ แต่ถูกการด่าการแช่งจากสัตว์ ว่ามนุษย์นี้คือเป็นตัวยักษ์อันสำคัญ ไปที่ไหนสัตว์แตกกระจายไปหมด อย่าให้เขาได้ตำหนิติเตียน อย่าให้เขาได้ฟ้องร้อง อย่าให้เขาได้นินทากาเลลับหลังเราเลย เราเป็นมนุษย์ไปที่ไหน ให้มีความสง่าราศี ให้สัตว์ทั้งหลายได้รับความร่มเย็นจากเรา ชื่อว่าเราเป็นผู้ฉลาดให้ความร่มเย็นแก่สัตว์ได้ นอกจากให้ความร่มเย็นแก่เราแล้ว

ฉะนั้น การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควร ก็รู้สึกภายในไฟเหลืองเริ่มขึ้นแล้ว จึงขอยุติเพียงเท่านี้ ขอทุกๆ ท่านได้นำไปประพฤติปฏิบัติ หากว่าการแสดงธรรมนี้ มีหนักบ้าง เบาบ้างตอนไหนก็กรุณาให้อภัยแก่ผู้แสดงด้วย จึงขอยุติเพียงเท่านี้

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก