เทศน์อบรมฆราวาส
ณ ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
จิตตวิมุตติหลุดพ้นแล้วเป็นหลักธรรมชาติ
(หนังสือของสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศน์วิหาร กรุงเทพมหานคร ลงวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๐
เรื่อง ทรงประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลเป็นการส่วนพระองค์
กราบอาราธนาพระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
เนื่องในโอกาสวันสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชครบ ๑๘ ปี เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ทรงประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลเป็นการส่วนพระองค์ ในวันเสาร์ที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ เวลา ๑๗.๐๐ น. ณ ตึก วชิรญาณสามัคคีพยาบาลชั้น ๖ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพมหานคร ในการนี้ ทางสำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช มีความประสงค์กราบอาราธนาพระธรรม วิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) ร่วมในครั้งนี้ด้วย
จึงกราบอาราธนามาเพื่อโปรดร่วมพิธีเป็นการส่วนพระองค์ ถวายตามพระราชประสงค์ต่อไป
กราบอาราธนามาด้วยความเคารพอย่างสูง
ลงนามพระเทพสารเวที ผู้ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช)
(ท่านมีพระประสงค์จะถวายทองคำให้หลวงตาด้วย)
เป็นอันว่าทราบเรียบร้อยแล้ว แต่ก่อนเราไปก็ไปพักที่กุฏิเจ้าคุณยนต์นี้แหละ ตั้งแต่ไปพักวัดบวรฯไปพักกุฏิท่านเจ้าคุณนี้ละตลอดมา จนกระทั่งเรามาที่นี่แล้วจึงไม่ได้ไปพักอีกนะพักกุฏิเจ้าคุณยนต์แต่ก่อน ท่านแก่แล้วนะเจ้าคุณยนต์นี่ก็แก่ เรายังพอระลึกได้อยู่ ท่านเจ้าคุณรองสมเด็จที่วัดโพธิสมภรณ์ นั่นละเป็นอาจารย์แล้วให้เจ้าคุณยนต์นี้มาบวชที่วัดบวรฯ ตอนที่จะบวช เป็นพ.ศ.เท่าไรเราจำไม่ได้ จนกระทั่งเป็นเจ้าคุณ นานขนาดนั้นละเป็นเจ้าคุณ ท่านอยู่คณะกุฏิแถวนั้น
สมเด็จพระสังฆราชท่านรับสั่งอะไรๆได้บ้างไหม (พระอาการดีขึ้นมากแล้วครับ) น่าสงสารนะ สนิทกันมากนะ เราไปทีไรเราไปพักที่วัดบวรฯ ทีแรกพักกุฏิท่านเลย ท่านนิมนต์ให้พักกุฏิท่านเลย นิมนต์ให้ไปพักชั้นบน ไม่ไปๆ เลยขอห้องชั้นล่าง เลย ชั้นล่างๆ พื้นๆ อยู่ในห้อง ท่านนิมนต์ขึ้นไปชั้นบน ที่ท่านพักพักอยู่ชั้นบนนะ กุฏิเดียวกัน เขาเรียกว่าคอยท่าปราโมชหรืออะไร จากนั้นเลยขอท่านพักกับเจ้าคุณยนต์นี่แหละ แต่ก่อนท่านให้พักกับท่านทั้งนั้นแหละ พักกุฏิท่านพักกุฏิหลังนี้ ท่านให้เลือกเอาตามชอบใจสองหลังนี้ ครั้นต่อมาเราก็เลยไปพักอยู่กับกุฏิเจ้าคุณยนต์
พรรษาเท่ากันนะ เกิดปีเดียวกัน ท่าเกิดเดือนตุลาปีเดียวกัน วันที่ ๓ ตุลา เราเกิดวันที่ ๑๒ สิงหา ห่างกันนิดหน่อย เวลาบวชท่านก็บวชก่อนเราหน่อย เรียกว่าพรรษาพอๆ กัน เดี๋ยวนี้ไม่รู้จักกับใครเลยวัดบวรฯ พระที่เฒ่าที่แก่ก็ล่วงไปหมดแล้วแหละ ดูมองไม่เห็นใครนะ ผู้ใหญ่ๆ ที่เป็นเพื่อนฝูงกันแต่ก่อน ปรากฏว่าล่วงลับไปหมดแล้ว คงยังเหลือแต่พระหนุ่มน้อยที่ได้สมณศักดิ์สูงขึ้นไปเป็นขั้นเป็นภูมิไป ส่วนพระที่เคยเป็นเพื่อนเป็นฝูงกันแต่ก่อนดูเหมือนหมดแล้วนะ วัดบวรฯหมด พอดีเราก็เลยมาอยู่ที่นี่ สุดท้ายเรียกว่าหมดจริงๆ ก็ไม่ผิด ยังเหลือแต่สมเด็จฯกับเจ้าคุณยนต์ นอกนั้นไม่มองเห็นองค์ไหนนะ
วันพรุ่งนี้ ๕ โมงเย็นนะ เราไปดูท่าน จับพระหัตถ์ท่านเห็นไหมล่ะ รูปติดอยู่นี้ดูเหมือนมีมัง รูปของเราที่จับพระหัตถ์ท่าน เราเป็นฝ่ายจ้อเลย ท่านเป็นฝ่ายเมิน ลักษณะเมิน เราเป็นฝ่ายจ้อ ทีนี้เราจะถอยออกมาจากนั้นเราก็จะลากลับ ไม่อยากรบกวนท่านนาน ท่านทรงชี้พระหัตถ์..เก้าอี้นะ คือเก้าอี้อยู่ตรงพระพักตร์ท่าน เราคุยกับท่านแล้วเรานั่งพื้น ท่านเลยชี้ให้เรานั่งที่นั่น สุดท้ายเราก็ไม่ไปนั่ง ออกจากนั้นลุกไปเลย ท่านรู้อยู่ได้ทุกอย่างอยู่ เป็นแต่เพียงว่าเครื่องมือของท่านใช้ไม่ได้และไม่ค่อยได้เท่านั้นเอง ท่านเป็นฝ่ายเมิน ลักษณะเมินๆ เราเป็นฝ่ายจ้อถามเหตุถามผล
แต่ก่อนท่านไปพักอยู่วัดป่าบ้านตาดทีละอาทิตย์ๆกว่านะ ไปพักภาวนาอยู่ หลังจากนั้นมาแล้วภาระท่านก็หนัก จนกระทั่งได้เป็นสมเด็จสังฆราช เราเองก็เลยไม่ได้เข้าไปกราบท่านที่วัดบวรฯนะ ไม่ได้ไป ท่านเสียเองยังดีกว่าเรา ประหนึ่งว่าเรานี้ทะนง ท่านมาอำเภอกุมภวาปี พอเสร็จจากงานปุ๊บปั๊บมาเลย เข้าไปวัดป่าบ้านตาด ตั้งใจไปเยี่ยมเรา จากนั้นกลับเลย เรายังไม่ได้ไปกราบท่าน ตั้งแต่ท่านเป็นสมเด็จสังฆราชแล้วเราเป็นฝ่ายเย่อหยิ่งน่ะถูกนะ แต่ไม่มีในเจตนา หากไม่ได้ไป ไม่สมกับว่าแต่ก่อนสนิทสนมกันมากกับท่าน อายุท่านก็เท่ากัน ๙๓ ๙๔ เราจะเต็มเดือนสิงหา ท่านตุลาท่านจะเต็มนะ ใกล้เคียงกันมาก
มาที่นี่เลยกลายเป็นเทศน์ออกทางวิทยุทุกวัน ไม่ได้เทศน์เฉพาะเมื่อคืนนี้นะ เมื่อคืนไปวัดเทพฯ นอกนั้นเทศน์ติดกันมาเรื่อยๆ เทศน์ออกทางวิทยุ ดูว่าทั่วประเทศไทยแล้วนะ การที่ท่านเหล่านั้นนำไปติดตั้งวิทยุในที่ต่างๆ จนกระทั่งเป็นร้อยกว่าที่นั้น เราไม่เคยสนใจนะ เราเทศน์แล้วปล่อยเลย ท่านเหล่านั้นต่างหากติดตามนำออกมาเป็นวิทยุร้อยกว่าแห่งเป็นเทศน์ของเรา ส่วนมากมีเราละออกหน้า ครูบาอาจารย์ทั้งหลายช่วยบ้างเล็กๆน้อยๆ องค์นั้นบ้างองค์นี้บ้าง ตัวยืนโรงจริงๆ คือเราเทศน์ตลอด
แต่เราพอใจในธรรมที่เราเทศน์ทุกขั้น เราไม่สงสัยในธรรมของเราที่เทศน์ตั้งแต่ธรรมพื้นๆ ถึงที่สุดเลย พูดให้มันตรงนะ ธรรมที่ว่าเผ็ดๆ ร้อนๆ ถึงที่สุดเลยคือเทศน์สอนพระที่วัดป่าบ้านตาด แต่ก่อนไม่มีคนเข้าไปเกี่ยวข้อง จะกำหนดวันใดเวลาใดประชุมได้ปุ๊บเลย ได้เลย เช่น ๑๐ วันบ้าง อาทิตย์หนึ่งบ้างเราประชุมเทศน์พระล้วนๆ เทศน์นี้มีแต่ธรรมะเด็ดเผ็ดร้อน นี่ละที่มาได้ยินได้ฟังอยู่ทุกวันนี้ ธรรมะตั้งแต่สมัยนั้นแหละ เพราะนั้นเป็นเทศน์สอนพระล้วนๆ พระที่มามุ่งต่อมรรคผลนิพพานเต็มหัวใจ ผู้เทศน์ก็พุ่งอย่างเดียวกัน
เพราะฉะนั้นการเทศน์ธรรมะขั้นสูงกับขั้นต่ำจึงต่างกันมากนะ เทศน์ธรรมะขั้นสูงนี้เทศน์ได้คล่องตัวรวดเร็วๆ พุ่งๆ ๆ เลย ออกเทศน์แกงหม้อใหญ่ขัดๆ ข้องๆ ถ้าจะตีแรงจะถูกหัวเด็กและหัวคนแก่ แล้วพวกอันธพาลมันแอบอยู่ข้างหลังมันก็ไม่ถูกมัน เข้าใจไหมล่ะ เลยตกลงตีสะเปะสะปะไปอย่างนั้นละ แต่กับพระล้วนๆ พุ่งเลยเชียวนะ คำว่าพุ่งเลยคืออะไร มีแต่ธรรมล้วนๆ ออก ไม่มีโลกเข้ามาเจือปนเลย พุ่งๆ ฟาดตั้งแต่สมาธิขึ้น
ส่วนศีลไม่ต้องพูดแหละ เพราะต่างองค์ต่างรักษาศีลสมบูรณ์แบบทุกองค์ ไม่เป็นที่ข้องใจสงสัย แต่ละรายๆเป็นผู้เชื่อในศีลของตนเต็มสัดเต็มส่วนแล้วด้วยหิริโอตตัปปะความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม ท่านเหล่านี้ท่านจะไม่ล่วงเกิน นอกจากผิดพลาดด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการบ้างเป็นได้ธรรมดา แต่จะให้มีเจตนาพระเหล่านี้ไม่มี เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้เทศน์ถึงเรื่องศีล เทศน์ก็ขึ้นสมาธิเลย สมถธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม ขึ้นถึงวิมุตติหลุดพ้นๆ ไปเลย
เทศน์ที่นี่มันก็สะดวก เพราะผู้ฟังก็ตั้งหน้าตั้งตามุ่งต่อมรรคต่อผลจริงๆ ผู้เทศน์ก็เทศน์ด้วยความเมตตาสงสาร อยากให้เข้าอกเข้าใจตามธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วทุกแง่ทุกมุมว่าไม่ผิดพลาด เมื่อสัตว์โลกนำไปปฏิบัตินั้นจะได้ผลเป็นที่พอใจ สดๆ ร้อนๆ ตลอดมาและตลอดไปอีกอย่างนั้น เราจึงวิตกวิจารณ์เข้าทุกวันนะ ธรรมะเหล่านี้จะไม่ค่อยมีเหลือแล้ว เวลานี้ยังมีอยู่ในวงปฏิบัติที่ท่านเก็บหอมรอมริบไว้เทิดทูนอยู่ในภาคปฏิบัติของท่านเอง
เรื่องศีลไม่ต้องพูดท่านเหล่านี้นะ สมาธิ ปัญญา วิมุตติหลุดพ้นท่านหมุนติ้วอยู่ในนี้ ในวงปฏิบัติมันเหมือนกับในครอบครัวหนึ่งๆ ในครอบครัวนี้จะพูดเรื่องอะไรๆ ๆ ก็ได้ในครอบครัวของตน พอออกจากครอบครัวไปแล้วหายเงียบ เรื่องของครอบครัวไม่มี เป็นธรรมดาไปเสีย นี้วงกรรมฐานเหมือนกัน วงกรรมฐานท่านจะพูดในวงของท่านโดยเฉพาะๆ
เพราะฉะนั้นท่านองค์ใดมีภูมิจิตภูมิธรรมสูงต่ำมากน้อยเพียงไร จึงปิดไม่อยู่ เพราะท่านสนทนากันอยู่ตลอดเวลา นอกจากฟังเทศน์ของครูบาอาจารย์แล้วยังมีสนทนาข้ออรรถข้อธรรม ใครผิดใครถูกประการใด ท่านได้รับการอบรมอยู่ตลอด ท่านเหล่านี้จึงเป็นผู้ทรงมรรคทรงผล ปัจจุบันนี้ก็มีอยู่อย่างนั้นแหละนะ เพราะท่านผู้สนใจปฏิบัติอยู่เงียบๆ นี้มีอยู่มากนะในป่าในเขา ส่วนมากจะเป็นภาคอีสาน เพราะอะไร ภาคอีสานไปเด่นทางด้านธรรมะนะ อย่างอื่นไม่เป็นท่าทั้งนั้นภาคอีสาน ดินฟ้าอากาศอะไรๆ ไม่อำนวย ทุกอย่างเหือดแห้งไปหมดภาคอีสาน เลวที่สุดคือภาคอีสาน สถานที่อยู่ที่ปลูกที่สร้างอะไรนี้ไม่มีชิ้นดีเลย ดินจืดดินชืด แต่ก็มาปรากฏดีอยู่ทางด้านธรรมะ
ด้านธรรมะนี้คือครูบาอาจารย์มาดั้งเดิมก็หลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่น นั่นละรากฐานอันใหญ่หลวงแห่งธรรมทั้งหลายที่พระเหล่านี้ ซึ่งมักอยู่ภาคอีสานแล้วอบรมศึกษาจากท่าน ดังครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เราได้กราบไหว้บูชากันอยู่ทุกวันนี้ ส่วนมากจะเป็นพระภาคอีสาน ทีนี้ครูบาอาจารย์ท่านมักอยู่ทางนั้น ท่านได้รับการอบรมทางนั้นๆ เช่นอย่างหลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน หลวงปู่คำดี มีแต่พวกเพชรน้ำหนึ่งนะ ท่านอยู่ภาคอีสานทั้งนั้น เพราะครูบาอาจารย์เป็นหลักใหญ่อยู่ที่นั่น ท่านรับการอบรมที่นั่น กระจายออกไปจนกระทั่งทุกวันนี้
ธรรมะจึงมักจะเด่นอยู่ทางภาคอีสาน เพราะมีผู้ปฏิบัติมากและผู้ได้รับการอบรมศึกษาจริงๆ จากครูจากอาจารย์มีมากกว่าภาคอื่นๆ ภาคอื่นๆ เป็นอะไรไม่ค่อยมีครูบาอาจารย์ เรื่องพระกรรมฐานนี้ไม่ต้องบอกท่านละ ขอให้มีครูบาอาจารย์องค์ใดที่เป็นที่แน่ใจสนิทตายใจในภาคปฏิบัติการแนะนำสั่งสอนท่านจะไปเอง ไม่ยาก ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านมักจะอยู่ทางภาคอีสานเสียมากต่อมาก พระปฏิบัติจึงชอบอยู่ทางภาคอีสาน เพราะใกล้กับสถานที่อบรมเป็นที่สะดวกสบาย
นี่ละที่ว่าทางด้านธรรมะภาคอีสานเด่น เด่นอย่างนี้ นี่เราพูดตามหลักความจริง อย่างอื่นไม่เป็นท่าสำหรับภาคอีสาน สถานที่อยู่ที่อาศัยจืดชืดไปหมด หาอะไรที่จะพอเป็นนั้นไม่ได้ แม้ที่สุดเอาทุเรียน เอาเงาะ มังคุด ลางสาด ไปปลูกที่วัดป่าบ้านตาด เอายกตัวอย่างเลยนะ เริ่มแรกจะให้เห็นเรื่องของภาคอีสานมันเป็นอย่างไรปลูกอะไรมันไม่ขึ้นๆ มันเป็นเพราะอะไร เอาลองปลูกดูซิเราจะคอยดู จะเอาเหตุเอาผลกับมัน
ทุเรียนดีๆ เอามาปลูก พวกมังคุดลางสาดอะไรดีๆ เป็นบริเวณให้จริงๆ นะ แถวนั้นรักษาให้ดีหมด แล้วน้ำก็เต็มอยู่ทุกแห่งละแถวนั้น แล้วครั้นแล้วมันไม่ได้ขึ้นนะ มันจะเป็นเพราะดินฟ้าอากาศหรืออะไรไม่รู้นะเลยตายหมดนะ ตั้งแต่นั้นมาเราปล่อยเลย ไม่สนใจ แสดงว่าไม่เป็นท่าแล้วที่ปลูกสร้าง อากาศอาจจะร้อนเกินไป หนาวเกินไป ที่ดินก็จืดชืด ไม่มีมันไม่มีปุ๋ยมีอะไรเลย เราเลยเลิกละ ทีแรกเอามาปลูกจะเอาเหตุเอาผลจากมันจริงๆ นะ ปลูกแล้วไม่เป็นท่านะ ทุเรียนก็ขึ้นต้นหนึ่งมีลูกหนึ่ง ลูกของมันในทุเรียนนั้นมันสุกให้เห็นเหมือนกันนะ แกะออกมามีแต่เม็ดไม่มีเนื้อ เอาชัดขนาดนั้นนะ
เอาเลิก ทีนี้บอกเลยเลิก ต้นไม้ผลไม้อย่าเอามาปลูก ภาคอีสานไม่เป็นท่าเราบอกเลยละ เพราะเราทดลองเองทุกอย่าง ไม่ดี ภาคอีสานดินไม่ดี จืดชืดไปหมด น้ำท่าก็ไม่พร้อม เหือดแห้งที่สุดคือภาคอีสาน จะไปตำหนิใครก็ไม่ได้ เพราะไม่มีที่ไหลมาแห่งน้ำ ที่อื่นๆ เขามีที่ไหลมาๆ ส่วนภาคอีสานจะไหลมาจากทางไหนก็ไม่มี ปล่อยให้เป็นธรรมชาติมันก็แห้งแล้งของมันอยู่อย่างนั้นแหละ แต่ที่พอได้ชมคือฝ่ายศาสนาฝ่ายธรรมทางภาคอีสานพอได้ชมตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ หลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่นก็เป็นคนอุบล บรรดาลูกศิษย์ลูกหาไปศึกษอบรมจากท่านมาจากนั้นๆ แตกกระจายไปหมด
เพราะฉะนั้นจึงมีธรรมะพอให้ชุ่มเย็นทางด้านจิตใจบ้างคือภาคอีสาน นอกนั้นไม่เป็นท่าละ มีธรรมพอให้ชุ่มเย็นบ้างนะ เราพิจารณาตามเหตุตามผลเป็นความสัตย์ความจริงไม่เอนไม่เอียง ภาคอีสานนี้เลวในด้านวัตถุทุกอย่าง เลวไปหมด พอมีดีอยู่บ้างทางด้านธรรมะ จิตใจคนได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม บรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ปรากฏชื่อลือนามให้เราทั้งหลายได้กราบไหว้บูชาท่านอยู่ทุกวันนี้ ส่วนมากจะมีแต่พระภาคอีสาน เพราะท่านได้รับการอบรมที่ถูกต้องดีงามมาด้วยดี มีหลวงปู่เสาร์- หลวงปู่มั่นเป็นโรงงานใหญ่ที่สุดและถูกต้องแม่นยำที่สุดด้วย การรับโอวาทที่ถูกต้องดีงามมาจากนั่นมันจะผิดไปไหน เพราะรับมาด้วยความตั้งอกตั้งใจที่จะปฏิบัติให้เห็นมรรคผลนิพพานมันก็เห็นละซิ
ด้วยเหตุนี้เองผู้ทรงมรรคทรงผลเวลานี้ทางภาคอีสานมีอยู่มากนะ ทางอื่นๆ เราไม่ปฏิเสธ มีเหมือนกัน แต่ทางภาคอีสานนี้ท่านเป็นสำนักของท่านจริงๆ บางแห่งตั้ง ๒๐-๓๐ องค์ เป็นแห่งๆ ๆ ล้วนแล้วแต่มีหลักมีเกณฑ์ มีครูมีอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอน นอกจากนั้นยังมีเทปเป็นประจำ เรายกตัวอย่างเช่นวัดภูวัว พอตกค่ำเข้ามา ๖ โมงเย็นพระท่านจะเริ่มทะยอยเข้ามาที่กุฏิหลังนั้น มันกลายเป็นกุฏิสองชั้นไป มันก็ชั้นเดียวละ คือชั้นล่างเป็นหิน หินมันก็เหมือนกระดาษเรานี่ ท่านอยู่ชั้นล่าง ท่านไม่ขึ้นข้างบน ท่านเอาเทปมาตั้งไว้นั้น เทปครูบาอาจารย์องค์ใดก็ตามเป็นที่เคารพนับถือ ท่านจะเอาเทปมาตั้งหัวหน้าจะเอามาตั้งไว้นั้น ทีนี้ฟังกัน พอถึงเวลาแล้วเปิดเทปท่านนั่งภาวนาฟังเทป อย่างน้อยจบกัณฑ์หนึ่ง ม้วนหนึ่ง แล้วจากนั้นใครจะลุกไปประกอบหน้าที่การงานตามอัธยาศัยของตนก็ไปได้
นี่ละไม่ขาดธรรมะนะ อยู่ภูวัวไม่ได้ขาดนะ เทปของครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่สำคัญๆ ไปอยู่ที่นั่นหมด ท่านเปิดฟังทุกคืนๆ ๆ เรื่อยมาอย่างนี้ละ ท่านสนใจปฏิบัติกับอรรถกับธรรมอย่างเดียว เมื่อสนใจในสิ่งใดต้องได้ในสิ่งนั้นเพราะเป็นของมีอยู่ด้วยกัน ธรรมะเป็นของมีอยู่ดั้งเดิม ตั้งใจปฏิบัติธรรมะทางภาคปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อมรรคผลนิพพานจริงๆก็ต้องเจอ เพราะธรรมชี้เข้าไปหามรรคผลนิพพานทั้งนั้น ไม่ได้ชี้ลงไปนรกอเวจี นอกจากสัตว์โลกมันดื้อด้าน มันแหวกแนวไปก็เป็นกรรมของสัตว์
ถ้าปฏิบัติตามท่านที่สอนแล้วตรงแน่วเลยตามอรรถตามธรรม แล้วมรรคผลนิพพาน อย่างภาคอีสานมีน้อยเมื่อไร อย่างทุกวันนี้นะ ท่านมีของท่านเงียบๆ นะ จะรู้ในวงปฏิบัติด้วยกัน วงปฏิบัติก็คือครอบครัว ครอบครัวของใครของเรา เรื่องราวอะไรก็จะรู้เฉพาะครอบครัวของตน พอออกไปแล้วก็หายไป นี่ครอบครัวของกรรมฐานก็มีหลวงปู่มั่นเป็นหลักใหญ่ ออกไปบอกว่าสายหลวงปู่มั่นๆ ท่านเป็นก๊กๆๆ ก๊กปฏิบัติจริงๆ นั่นละเรียกว่าเป็นครอบครัวๆ
เวลาท่านพูดธรรมะต่อกันนี้น่าฟังมากนะ นั่นละท่านหาธรรม ท่านเห็นธรรม หาอะไรเห็นอันนั้นนะ เพราะสิ่งในโลกนี้มีอยู่ทั่วๆ ไป หาของไม่มีไม่เจอ ของมีอยู่ต้องเจอ เรื่องบุญเรื่องบาปเรื่องอรรถเรื่องธรรมโลกสงสารกิเลสตัณหามีอยู่ด้วยกัน เฉพาะอย่างยิ่งในหัวใจของสัตว์โลก ผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมที่จะปฏิบัติตนให้ได้อรรถได้ธรรมต้องได้จริงๆ ได้ตลอด พระที่ท่านอยู่ในป่าในเขานี้เราเรียนตามความสัตย์ความจริงนะ ท่านอยู่ด้วยกันมีกี่องค์ เรื่องโลกเรื่องสงสารจะไม่มีเลยนะ กิริยาที่จะพูดถึงเรื่องการได้การเสีย การซื้อการขายเรื่องหญิงเรื่องชายไม่มีเลยในวัด
พอเจอกันปั๊บเป็นอย่างไรภาวนา เป็นอย่างนั้นนะ ไปอยู่ในป่านั้นเป็นอย่างไร เขาลูกนั้นเป็นอย่างไร ถ้ำนั้นเป็นอย่างไร ทีนี้ท่านก็เล่าความรู้ความเห็นเกิดจากการปฏิบัติของตนๆ สู่กันฟัง แล้วเป็นกำลังใจของกันและกัน ผู้ที่ได้ยินได้ฟังมันมีกำลังใจ องค์นี้รู้ไปอย่างนี้ องค์นี้รู้ไปอย่างนี้ๆ แล้วเป็นกำลังใจให้หนักทางความพากความเพียร ผลก็ปรากฏขึ้นไปเรื่อยๆ มีแต่ครูบาอาจารย์ที่ทรงมรรคทรงผล แสดงออกไปจุดใดดอนใดไม่มีผิดมีพลาด ผู้ปฏิบัติก็ต้องหายสงสัย ไม่ได้ลูบๆ คลำๆ นะ
นี่ละเรื่องมรรคเรื่องผลจะไม่มีได้อย่างไร ต้องมีผู้ชี้แนวทางโดยถูกต้องมีอยู่แล้ว มันก็ต้องได้อย่างนั้น เฉพาะสมัยพ่อแม่ครูอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่นี้ แหม รู้สึกว่าพระนี่เวลาท่านจะประชุมอย่างนี้นะ กระหยิ่มยิ้มย่องเหมือนกันกับลูกหิวนมแม่จะเป็นจะตายมานะ กระเสือกกระสนมา แล้วจะได้กินนมแม่พูดง่ายๆ นะ คือค่ำนั้นท่านจะเทศน์ ดูหน้าไหนๆ ยิ้มแย้มแจ่มใสหมด จากนั้นท่านก็เริ่มเทศน์ เริ่มเทศน์นี่พระมีจำนวนมาก วัดอื่นๆ ก็มีนะ ไม่เพียงแต่วัดหนองผือ ห่างกัน ๓ กิโลบ้าง ๔ กิโลบ้าง ค่ำท่านมาฟังเทศน์เวลาประชุม
ถ้าเป็นวันอุโบสถท่านจะประชุมตอนบ่าย อุโบสถเสร็จเรียบร้อยแล้วท่านเทศน์ อันนี้มาได้ทั่วๆ ไปสำหรับพระที่อยู่ในที่ต่างๆ แต่กลางคืนนั้นจะมาได้ที่ใกล้ๆ ไม่ไกลนัก ท่านมาฟังเทศน์ ท่านเป็นองค์เทศน์ เทศน์มีแต่มรรคแต่ผลเต็มหัวใจ หลวงปู่มั่นคือคลังแห่งมรรคผลนิพพาน การเทศนาว่าการนี้ไหลเลยนะ ไม่ใช่ธรรมดา เราพูดจริงๆ ตั้งแต่เราเกิดมานี้เราจะว่าเป็นนักล่าอาจารย์ก็ไม่ผิด เพราะล่าหาความสัตย์ความจริง หาอรรถหาธรรมจากครูบาอาจารย์แต่ละองค์ๆ นี่ก็เข้าหาท่านเลย ไปเจอจังๆ อย่างว่า
เวลาท่านเทศน์ให้ฟังนี้ โอ้ย อะไรมันพูดไม่ถูกนะ เวลาลูกศิษย์ลูกหาจะได้ฟังในค่ำวันนั้นกระหยิ่มยิ้มย่องกันทั่วหน้าหมดเลย ฟังเทศน์เต็มหัวใจแล้วกลับไปวัดของตนๆ เพราะบางแห่งมี ๓ กิโลบ้าง ๔ กิโลบ้างท่านก็มานะ ฟังแล้วท่านก็กลับไป กลับไปท่านก็กลับด้วยการภาวนา ท่านไม่ได้ไปให้เสียเวลาว่าเดินทางจากนี้ไปนู้นกี่กิโลเท่านั้นกิโล ท่านไม่ได้เอากิลงกิโลมาเป็นอารมณ์ ท่านเอาการภาวนาเป็นอารมณ์ เดินจากนี้ไปถึงวัดก็เดินจงกรมไปเลย จึงไม่มีคำว่าเสียเวลา ใกล้ไกลไม่มีประมาณ ท่านเดินมาท่านก็ภาวนามาเรื่อยๆ เดินจงกรมมาก็ไม่ผิด เวลาขากลับไปก็เดินจงกรมไป เวลาฟังเทศน์นั่งภาวนาฟัง เป็นอย่างนั้นละ
ทีนี้เหมือนว่ามรรคผลนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ นะ เพราะมันปลุกใจกัน ต่างองค์ต่างมุ่งมาดมาหาอรรถหาธรรม แล้วผู้ปฏิบัติแต่ละองค์ๆ มีความรู้เลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน เวลามาเล่าให้กันฟังเป็นที่รื่นเริง เพิ่มกำลังใจให้กันและกันมากทีเดียว หลังจากฟังเทศน์ท่านแล้ว หรือก่อนที่จะได้ฟังการอบรมจากท่านนั้นละสนทนากันเวลาว่างๆตอนนั้น รื่นเริงบันเทิงในวงปฏิบัติทั้งหลาย เวลาท่านเทศน์นี้ก็จ้าไปหมดเลย ครอบ
ธรรมะพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนี้ไม่ได้ผิดอะไรกับครั้งพุทธกาลนะ ครั้งพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าประทานโอวาทแก่พระสงฆ์สาวกทั้งหลาย และพระสงฆ์สาวกอรหัตอรหันต์ เทศนาว่าการสั่งสอนกันก็แบบเดียวกันๆ หลวงปู่มั่นก็แบบเดียวกัน คือสดๆ ร้อนๆ ออกมาจากหัวใจ พุ่งๆๆ เวลาท่านเทศน์ลืมน่ะ ไปถึงท่านทีแรกท่านเทศน์ ๔ ชั่วโมง ทีแรก ๔ ชั่วโมงจบ ผู้ฟังเทศน์เหมือนหัวตอนิ่งเงียบ ไม่มีองค์ใดจะแสดงอากัปกิริยาต่างๆ ให้เห็นเลย เพราะความสนใจในธรรม แล้วธรรมกล่อมใจ
ในเวลาที่ท่านเทศน์ธรรมะที่ท่านเทศน์ก็มีหลายประเภท ผู้ที่ไปฟังมีขั้นภูมิของธรรมต่างกัน ผู้ที่ยังไม่สงบเมื่อฟังธรรมสืบเนื่องต่อกันไปเรื่อยๆก็สงบได้ ผู้สงบยังไม่เต็มที่สงบแน่วเข้าไปในขณะฟังธรรม จากนั้นถ้าผู้ก้าวทางด้านปัญญาเวลาท่านเทศน์นี้ขยับตาม เทศน์ขั้นปัญญาของผู้ได้ยินได้ฟัง พอท่านขยับขยับตามท่านๆ วันนี้ขยับมานี้ วันหน้าขยับไป เป็นอย่างนั้นเรื่อยๆ ทีนี้ก็ยอมรับย้อนหลัง ว่าอ๋อ ครั้งพุทธกาลท่านเทศนาว่าการสั่งสอนพวกเทวบุตรเทวดา มนุษย์มนา สำเร็จมรรคผลนิพพานเป็นหมื่นๆ แสนๆ มันจะไม่เป็นได้อย่างไร นั่นมันยอมรับนะ
เช่นกำลังพิจารณาอยู่ตรงนี้ๆ ท่านเทศน์มาถึงนี้ท่านจะไปไหน พอมาถึงนี่ปั๊บโดดไปได้ก้าวหนึ่งสองก้าว แต่ละครั้งๆ ก้าวไปเรื่อยๆ มันพ้นได้นะ ไม่ใช่ว่าพร้อมกันแล้วพรึบออกไปอย่างนั้นนะ คือมันมาถัดๆ กันมา ควรจะพ้นวันนี้พรุ่งนี้พ้นไป พรุ่งนี้ขยับเข้าไปแทน พ้นไปๆ เทศน์คนมากต่อมากมันสำเร็จมรรคผลนิพพานได้ ท่านแสดงไว้ในตำรายอม เรายอมรับนะ
นี่ละธรรมสดๆ ร้อนๆ ใจก็เป็นใจสดๆ ร้อนๆ ใจจืดใจชืด มาจากไหน เมื่อใจเข้าสู่ธรรมแล้วสดๆ ร้อนๆ ทั้งนั้น ทันกับธรรมทั้งหลาย เหมือนกันกับกิเลสถ้าเอาให้มันทัน มันทันกิเลส นอกจากให้มันลากไปๆ จนตายตั้งกัปตั้งกัลป์ก็ไม่มีวันทันกันละ ไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุดยุติ คือสัตว์โลกตายกองกันเพราะวิ่งตามกิเลส ถ้าวิ่งตามธรรมแล้วทางจะยาวขนาดไหนก็ตามค่อยหดย่นเข้ามา หดย่นเข้ามา สุดท้ายลงมานี่ละที่ว่าสำเร็จพระโสดา อย่างมากที่สุดมาเกิด ๗ ชาติ ใน ๗ ชาตินั้นไปแดนสวรรค์และลงมนุษย์ ไปแดนสวรรค์แดนมนุษย์พอ ๗ ชาติไปเลย ๓ ชาติก็แบบเดียวกัน ๑ ชาติ นี่หดเข้ามา หดเข้ามา จนถึงนิพพานได้เช่นเดียวกัน
นี่ละอำนาจแห่งธรรมตัดวัฏวนที่แสนยืดแสนยาวให้หดให้ย่นเข้ามา ย่นเข้ามาด้วยการอบรมความดีงามทั้งหลาย การทำบุญให้ทานมีแต่ตัดวัฏวนการเกิดตายของตนที่ยืดยาวให้สั้นเข้ามานะ เวลาไปเกิดในภพใดชาติใดอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลที่เราสร้างมามากน้อยเรียกว่าเป็นสมบัติทิพ เราเสวยอันนี้ละในภพชาตินั้นๆ เสวยไปเรื่อยสูงไปเรื่อย สุดท้ายก็พ้นเลย นั่นละการสร้างบุญสร้างกุศล อย่าให้กิเลสมันหลอกลวงนะ ว่าศาสนาล่วงไปเท่านั้นเท่านี้ มรรคผลนิพพานไม่มี และบาปจะไม่มี บุญจะไม่มี มีแต่เรื่องโกหกของกิเลส อย่าเชื่อนะ
ศาสดาองค์เอกเป็นผู้สิ้นกิเลสสอนโลกผิดไปไหน กิเลสสอนโลกมันมีแต่คลังกิเลสสอนโลกมันเอาความถูกต้องดีงามมาจากไหน นอกจากหลอกลวงโลกให้จมไปด้วยกันเท่านั้น ให้พากันจำคำนี้ให้ดีนะ ศาสดาสอนโลกเป็นผู้สิ้นกิเลส ไม่มีคำว่าหลอกลวง ส่วนกิเลสสอนโลกนี้มีแต่คลังกิเลสพากันจมหมดเลย จมหมดเลย จมหมดเลย หัวใจดวงนี้ไม่มีนะคำว่าตาย ไม่มี นี่ละตัวนี้ละตัวสมบุกมากที่สุด ท่องเที่ยวเกิดในวัฏสงสารไปด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรม
อวิชชาเป็นเชื้ออย่างไรต้องเกิด แต่เกิดนั้นจะเกิดที่สูงที่ต่ำเป็นวิบากกรรมดีชั่วพาให้เกิดที่สูงที่ต่ำ นี่มันติดแนบกันไป สองอย่างนี้ ดีชั่วพาให้เกิดสูงบ้างต่ำบ้าง อวิชชานั้นแน่พาให้เกิด อย่างไรต้องเกิดถ้าอวิชชามีอยู่ อันนี้จะต้องทราบกันภาคปฏิบัติ เราพูดเฉยๆ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ด้วยภาคปฏิบัติ สอนโลกไม่ผิด ทีนี้เรามาพิจารณาตามท่าน เวลาปฏิบัติมันก็เป็นอย่างท่านว่า จิตของเรานี้มันหดย่นเข้ามา สุดท้ายเห็นแต่ร่องรอยของจิตพาไปนะ ร่องรอยที่เคยมาแต่ก่อนก็ไม่เห็น แต่เวลาปฏิบัติไป ปฏิบัติไป มันก็เห็นร่องรอยของจิตที่มันดีดมันดิ้นมันจะไปภพนั้นชาตินี้นะ
สุดท้ายมันย้อนรู้ร่องรอยของตัวเองที่เคยเป็นมาอีกด้วย มันก็ยิ่งกระตุ้นเตือนใจให้ตื่นเนื้อตื่นตัวเข้าไปเรื่อยๆ ทีนี้ขยับไม่ให้พลิกแพลงไปทางชั่ว ก้าวใดขึ้นไปก็เป็นก้าวที่ถูกต้องดีงาม เดินตามธรรมๆ และใกล้เข้าไป ใกล้เข้าไป สุดท้ายถึงที่สุด เช่นเดียวกับผู้ที่ก้าวไปทางผิด ก้าวไปทางผิดก็ผิดเรื่อยๆ ตั้งแต่วันเกิดมาสร้างแต่ความชั่วช้าลามก เกิดมาวันนี้ก็สร้าง วันหน้าก็สร้าง เดือนนี้เดือนหน้าสร้าง ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตาย มันสร้างได้มากขนาดไหนความชั่ว
อะไรก็ตามเมื่อสร้างอยู่ตลอด ขนมาอยู่ตลอด มันเพิ่มได้นะ ความชั่วก็เพิ่มได้ ความดีก็เพิ่มได้ ถ้าสร้างตั้งแต่ความชั่วช้าลามกนี้ตายแล้วไม่ต้องบอก จม ใครจะเก่งยิ่งกว่าศาสดาเอามาซิมาแข่งศาสดา ให้มาเป็นศาสดาแทนพระพุทธเจ้าเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปลองดูซิ ไม่มีในโลกอันนี้ มีศาสดาองค์เดียวที่ตรัสได้ถูกต้องแม่นยำ เรียกว่าโลกวิทูรู้แจ้งโลก เห็นหมดธรรมที่รู้แจ้งโลกมาสอนโลกผิดไปไหน กิเลสสอนโลก มันสอนด้วยความมืดบอด ลากลงเข็นลงๆ และสัตว์โลกก็ชอบเชื่อตามมัน วิ่งตามมัน ความทุกข์จึงไม่จืดจางในโลกนี้ มีเต็มไปหมด ถ้าเดินไปตามกิเลส
เราอย่าเข้าใจว่าความทุกข์จะเหือดแห้งหายไปนะ ถ้าเดินตามธรรมมีหายแน่เหือดแห้งไป กิเลสจะเบาลงๆ ทุกข์ก็เบาลงๆ กิเลสสิ้นซาก ความทุกข์หมด ไม่มีเหลือเลย ยกให้มันชัดๆ คือพระอรหันต์ไม่มีทุกข์ภายในใจ ตั้งแต่กิเลสตัวสร้างทุกข์ ตั้งแต่หยาบๆ ละเอียดๆ ขึ้นไปถึงละเอียดสุดสิ้นไปจากใจหมดแล้ว ทุกข์ตั้งแต่ส่วนหยาบ- ส่วนกลางส่วนละเอียดสุดสิ้นไปตามๆ กันเลย หมดสาเหตุที่จะสร้างความทุกข์ขึ้นมา สาเหตุคือกิเลส เมื่อกิเลสสิ้นซากแล้วทุกข์ไม่มี
ด้วยเหตุนี้เองพระอรหันต์จึงไม่เคยมีทุกข์ มีแต่บรมสุขตลอด เป็นพื้นฐานอย่างนั้นตลอดมา ส่วนธาตุขันธ์เราไม่ปฏิเสธเพราะอันนี้เป็นสมมุติด้วยกัน ไม่ว่าท่านว่าเราเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดท้อง-ศีรษะอะไรเป็น มีหิวมีกระหายเป็นธรรมดานะ แต่มันไม่เข้าถึงใจท่านซิ มันเป็นอยู่ภายในขันธ์ซึ่งเป็นสมมุติ ความหิวก็เป็นสมมุติ ธาตุขันธ์ก็เป็นสมมุติ มันก็หมุนอยู่ในวงสมมุติด้วยกัน มันไม่ได้หมุนไปในจิตที่เป็นวิมุตติจิตได้ อันนี้ยอมรับว่าทุกข์มี แต่มันไม่เข้าถึงใจท่านก็ไม่เป็นทุกข์
โลกนี้มันเป็นโลกประสาน สมมุติกับกิเลสนี้มันเข้ากันได้ พอเจ็บไข้ได้ป่วยนิดหน่อยเท่านั้นนะ ใจนี้จะสร้างเหตุการณ์ขึ้นมาให้เป็นทุกข์มากยิ่งกว่าโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นกับตนเสียอีก เมื่อมีธรรมในใจแล้วมันไม่กำเริบ มันจะเป็นมากเป็นน้อยก็รู้มันๆ เป็นมากขนาดไหนก็ไม่เข้าถึงใจ เอาพูดให้มันชัดนะ มันถึงขนาดว่าจะไปแล้วเหรอ ฟังซิน่ะ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ เรียกว่าหมดสภาพแล้ว จิตนี้จะออกแล้ว คือหมดสภาพที่จะเยียวยารักษาต่อไปได้แล้ว จะออกแล้วมันก็รู้
แต่ทีนี้มีอันหนึ่งที่มาแทรกดังที่เคยเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เราเป็นโรคหัวใจ โรคหัวใจนี้ แหม รุนแรงมากนะ รั้งไว้สามหนได้ จึงได้มาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง นี่ละเป็นเหตุให้ระลึกถึงพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นที่ท่านเร่งให้รีบเอาไปไว้สุทธาวาส ให้รีบ ผมไม่ได้ตั้งใจมาตายที่นี่ ผมจะไปตายวัดสุทธาวาส บอกแล้วตั้งแต่ต้นทาง แล้วมาขัดมาขืนอยู่ทำไม ท่านเร่งใหญ่เลย แต่ท่านไม่ได้แย็บออกมาว่านี่ผมรั้งเอาไว้นะ ท่านไม่ได้แย็บออกมา
ถ้าสมมุติว่าท่านแย็บออกมาในคืนนั้น คืนนั้นจะเป็นคืนแตกกระเจิงเลย เราจะพาท่านไปกลางคืนเลย ถ้าท่านว่านี่ผมรั้งเอาไว้ รั้งยังไม่ให้ตาย เมื่อรั้งมันสุดวิสัยแล้วแต่พระพุทธเจ้ายังตาย เดี๋ยวนี้ยังอยู่ในวิสัยที่จะรั้งไว้ได้ ถ้าท่านแย็บออกมาว่านี่ผมรั้งไว้นะ ให้รีบเอาผมไปนะ วัดบ้านภู่นี้แตกเลยนะ แต่นี้ท่านไม่ได้ว่า ตอนมาเป็นกับเราละซิมันย้อนหลังไปรู้ โรคหัวใจ ถึงกาลเวลาที่มันจะไปจริงๆ มันจะไปจริงๆนะ แต่มันอยู่ในวิสัยที่พอรั้งได้จึงได้มาเล่าให้ฟัง
หมดสภาพแล้วทุกอย่างจิตนี้คอยแต่จะดีด ทีนี้บังคับเอาไว้ ยังไม่ให้ออก บังคับเอาไว้ ลมหายใจหมด ทุกอย่างหมดเลย ยังเหลือแต่ความรู้ที่ครองร่าง ครองร่างจะไม่รับผิดชอบในร่างแล้ว มีแต่จะครองร่างเพื่อจะออก บังคับเอาไว้ยังไม่ให้ออก บังคับความรู้ให้อยู่ในขันธ์นี้ไว้ก่อน ไม่นานนักลมหายใจค่อยแผ่วเบา แผ่วเบาขึ้นมา ทีแรกลมหายใจหมดเลยนะ หมด จะไปแล้วนั่น พอรั้งเอาไว้ได้นานเข้าๆ ลมหายใจค่อยแผ่วเบา แล้วหายใจได้เป็นปรกติ อยู่ได้ไม่ต้องรั้ง
มันเห็นชัดๆ กับตัวเอง ไม่ใช่มาโม้มาคุย หลอกลวงพี่น้องทั้งหลาย เป็นอยู่ในหัวใจเจ้าของสามหนนะ ที่รั้งไว้ได้นะ ถ้าไม่อย่างนั้นตายตั้งแต่นู้นแล้ว ไม่อยู่มาถึงวันนี้ นี่ก็เพราะความรั้งไว้ แล้วจึงย้อนไปถึงพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ท่านเร่งให้เอาไปสกลนคร ให้ไปในคืนนี้ อย่ารอๆ ถ้าท่านแย็บว่านี่ผมรั้งไว้เท่านั้นวัดบ้านภู่แตกกลางคืนเลย ครูบาอาจารย์องค์ใดก็ตามที่พูดคาราคาซัง ไม่เป็นหน้าเป็นหลัง เราไปรับเหตุการณ์มาจากในมุ้งสองต่อสองกับท่านอยู่แล้ว เหตุการณ์หนักเบามากน้อยท่านสับเราจนแหลก
ครั้นออกมาปรึกษาครูบาอาจาราย์ องค์นั้นว่าอย่างนั้นองค์นี้ว่าอย่างนี้ โมโหนะเรา เดี๋ยวนี้ยังเสียดายยังโมโหย้อนหลังอยู่ ครูบาอาจารย์โง่ขนาดนี้ยังมีอยู่เหรอ นู่นน่ะ มันอยากว่าไปนู่นนะ คนหนึ่งเอาเหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ มาพูดทำไมพูดเป็นอย่างนี้ไปได้ มันเป็นนะในจิตน่ะ ถ้าท่านแย็บออกมาว่านี่ผมรั้งเอาไว้นะคืนวันนั้นแตกเลย จะไม่ฟังเสียงใคร แต่นี้ท่านไมว่า ตอนเช้ารถเขาก็มารับ ฉีดยาแล้วไปกลางคืนท่านก็สิ้น ท่านไม่บอกว่ารั้งเอาไว้ แต่เรามันรู้นี่ ถึงได้รู้ย้อนหลังไป อ๋อ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นที่ท่านว่าให้เร่งๆ คือเป็นของท่านจะรั้งไม่อยู่แล้วนั่น ท่านรั้งแต่ท่านไม่บอกเฉยๆ เวลามาเป็นในเราเรารั้งได้ จึงเอานี้มาเทียบเคียงกัน เป็นอย่างนั้นละจิตดวงนี้
มันชัดขนาดนั้นผู้ปฏิบัติ โดยไม่ต้องไปหาใครมาเป็นสักขีพยาน เอาความรู้ความเห็นความเป็นจากภาคปฏิบัติของตนเองนี้ละมายันเลยเชียว ผางขึ้นมานี้รู้ไม่ต้องถามใคร เช่นอย่างบรรลุธรรมผางขึ้นมาถามใครทำไม พระพุทธเจ้าตรัสรู้เอาใครมาเป็นพยาน สาวกทั้งหลายทุกองค์ท่านบรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาท่านเอาใครมาเป็นพยาน อันนี้มันก็แบบเดียวกัน เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้วจะเอาอะไรมาถามมันก็รู้ชัดๆ อย่างนี้
นี่ละทางภาคปฏิบัติเห็นได้อย่างชัดๆ จิตตั้งแต่หยาบโลนที่สุดมันก็เป็นในคนเราคนเดียว เรานี้ไม่เคยได้สร้างความชั่วช้าลามกอะไรมากนักละ แต่มาเทียบกับเวลามันหยาบ เนื่องจากเราออกมาบวชน่ะซิ ความผิดถูกชั่วดีที่เราเคยทำมาแต่ก่อนมันก็มาเกี่ยวข้องกันเวลามาเรียนธรรมะ เอ๊ นี่เราก็ผิด อันนั้นเราก็ผิดมาแล้ว อันนี้เราก็ผิดมาแล้ว คือตั้งแต่เป็นฆราวาสเราผิดมาแล้ว เวลามาบวชนี้เราพยายามแก้ตัวเรื่อยๆๆ แก้มาเรื่อย ทีนี้จิตมันก็ดีมาเรื่อยเมื่อเราแก้ไขดัดแปลงชะล้างตลอดมันก็ค่อยดี จากนั้นก้าวเข้าสู่ภาวนามีแต่ชะล้างอย่างเดียว สุดท้ายก็จ้าเลยเห็นไหมล่ะ
อย่างที่พูดสอนพี่น้องทั้งหลายเวลานี้มาโกหกพี่น้องทั้งหลายเหรอ มันเลยอาจหาญแล้วนะ คำว่าอาจหาญก็ดีคำว่าขี้ขลาดหวาดกลัวก็ดีอยู่ในวงสมมุติ ธรรมชาตินั้นไม่ได้ใช่สมมุติ เรียกว่าวิมุตติล้วนๆ เหนือหมดแล้ว แล้วกล้ากับอะไร กลัวกับอะไร ความจริงมีอย่างไรว่าไปตามความจริง นี่มันหมดแล้วนี่ ในหัวใจนี่พูดตรงๆ อย่างนี้ไม่มีอะไรเหลือเลย ยังเหลือตั้งแต่สมมุติ วันหนึ่งคืนหนึ่งหายใจฝอดๆ ไปอย่างนั้น จิตที่จะมาห่วงใยกับสิ่งเหล่านี้ไม่มี มันพอตัวอยู่แล้ว นี่ละเรียกว่าจิตที่พอตัวด้วยความเลิศเลอ พออยู่โดยหลักธรรมชาติ อันนี้จะเป็นอะไรๆ ก็ตามไม่เคยมาอาศัยกันเลย เมื่อยังอยู่ก็รักษากันไปเยียวยาไป รักษาไม่ได้ดีดผึง
เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ไม่ได้ตายยากนะ ก่อนจะตายดีดดิ้นตกเตียงตกอะไรไม่มีสติสตังท่านไม่เป็น พร้อมอยู่แล้วในนั้น อันนี้เป็นเรื่องขันธ์มันกำเริบเสิบสานของมัน ก็เป็นขันธ์กำเริบ จิตตวิมุตติไม่ได้กำเริบท่านจะหลงไปไหนล่ะ จิตตวิมุตติหลุดพ้นแล้ว เป็นหลักธรรมชาติ ตายตัวอยู่แล้วให้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เรื่องขันธ์นี่มันดีดมันดิ้นเพื่อจะแตกจะสลายก็รู้กันอยู่นี่ไปหลงกับมันหาอะไร ให้มันอย่างนั้นซินักปฏิบัติ เมื่อมันรู้แล้วมันเป็นอย่างนั้นไม่ถามใคร นี่พูดจริงๆ นี้ไม่ถามใคร เวลามันเป็นมันเป็นจริงๆ เราเคยพูดแล้ว
นี่พูดเป็นการโกหกเหรอ พูดเพื่อเป็นคติเครื่องเตือนใจในการปฏิบัติธรรมว่าผลมีอยู่ตลอดเวลานะ อย่าไปลืมนะ อกาลิโกๆ มีตลอดเวลา เอาทำเถอะ ทำดีทำชั่วได้ผลเหมือนกันตลอดเวลา เอาให้ทำดีผลจะเป็นที่พอใจสำหรับผู้ทำดีตลอดไป วาระสุดท้ายมาถึงจุดที่มันจะเป็นจะตายจริงๆ มันดีดมันดิ้นหาอะไร มันหวังพึ่งอะไร มันบกพร่องอะไร ไม่มี หมดทุกอย่าง ธรรมชาตินี้พอตัวแล้วด้วยความสว่างจ้าอยู่ในฐานะของตนโดยหลักธรรมชาติ อันนี้มันก็ดีดดิ้นตามสมมุติของมัน มันเจ็บนั้นปวดนี้ มันจะไปไม่ไหวมันก็จะพังลงไปอันนี้ไม่พัง นั่นมันเห็นกันอยู่อย่างนั้นแล้ว แล้วจะไปตื่นเต้นอะไรกับเรื่องความเป็นความตาย
เรียนจบธรรมะทุกข้อทุกกระทงจนใจบริสุทธิ์แล้ว ไม่ตื่นเต้นกับความเป็นความตายคนเรา ไม่ตื่น ตื่นหาอะไร นี่เป็นเรื่องสมมุติต่างหาก จิตตวิมุตติท่านไม่ตื่นกับอะไร ให้พากันจำเอานะ การปฏิบัติธรรมอย่าพากันประมาทนะ การทำบุญให้ทานอย่าปล่อยอย่าวาง มีมากมีน้อยอย่าเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวเห็นแก่ตัวนะ อันนี้พาเราไปจนตรอกจนมุมทั้งนั้นแหละ ไม่ได้พาเราเบิกกว้างออกไปได้รับความสุขความเจริญเพราะความตระหนี่ถี่เหนียวของเรา พาจมทั้งนั้น การทำบุญให้ทานนี้เป็นความเสียสละ สละทั้งวัตถุภายใน สละทั้งความตระหนี่ภายนอกออกไปพร้อมๆๆ สุดท้ายเวิ้งว้างไปหมดเลย ให้พากันสร้างไว้นะ เอาละพอ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|