เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
เทศน์จากหัวใจที่เต็มด้วยธรรม
แต่ก่อนเดือนอ้ายเดือนยี่นี่ละฝนมักตก กำลังหนาวๆ พอฤดูหนาวปุ๊บฝนใส่ลงมาอย่างเต็มที่ เจอแทบทุกปี เขาเรียกเดือนอ้ายเดือนยี่ เดือนธันวา-มกรา ฝนตกหน้านี้หนาวมาก มักเจอเสมอ เดือนอ้ายเดือนยี่เขาเรียกเดือนธันวา-มกราตก แล้วหนาวเสียด้วย ฝนตกหน้านี้หนาวมากเชียว มักโดนแทบทุกปีละ ตั้งแต่เที่ยวกรรมฐานอยู่ พอเดือนมีนา-เมษาส่วนมากพระกรรมฐานมักจะขึ้นถ้ำ เดือนมีนา-เมษาหน้าร้อนมักจะขึ้นถ้ำ แต่เดือนธันวา-มกรานี้อยู่ที่ราบๆ ไม่ได้ขึ้นถ้ำ นั่นละโดนฝนเอาตอนนั้น โอ้ ฝนตกหน้านี้หนาวมากนะ
พอพูดถึงเรื่องหนาวมากนี้ก็พ่อแม่ครูจารย์เรานี้ อยู่หนองผือท่านเอาผ้าห่มท่านนะ ผ้าที่ท่านห่มอยู่ทุกวัน เราเก็บเราตากอยู่ทุกวันๆ ท่านเอาผ้าที่ท่านห่มอยู่ทุกวัน ไปบังสุกุลให้เรา กุฏิเรามันสูงแค่นี้อยู่ตะวันออกกุฏิท่าน เพราะส่วนมากเราจะอยู่อย่างนั้นละอยู่ใกล้ชิดกับท่าน คอยฟังเสียงท่านตลอด เวลาหน้าหนาวท่านเอาผ้าท่านห่มอยู่ทุกวันนะ ก็เราตากเราเก็บอยู่ทุกวันมันก็รู้นี่
กุฏิเรามันสูงแค่นี้ มองดูที่นอนของเราเห็นผ้าห่มมีดอกไม้ธูปเทียนอย่างดีนะ ท่านทำ เอาไปบังสุกุลไว้ที่นอนของเราวางไว้ตรงกลาง เรามองเห็นเราก็เลยขึ้นไปดู ผ้าอย่างไร ดูเป็นผ้าพ่อแม่ครูจารย์เราท่านห่มทุกวัน ก็เราเก็บเราตากอยู่ทุกวัน ไปเห็น โอ๊ย ตาย นี่ผ้าพ่อแม่ครูจารย์นี่ เราก็เลยลงกราบเสียก่อน ท่านทำเรียบร้อยดีมาก ท่านเอาไปบังสุกุลให้เรา
ที่พูดอย่างนี้ก็คือว่าดัดสันดานตัวเอง เรามักจะเป็นอย่างนั้นตลอด ไปอยู่กับใครก็ตามเราทำคนเดียวเรา ไม่เกี่ยวกับใคร บิณฑบาตได้มาเท่าไรเอาเท่านั้น ไม่เอาของตามมาอะไรไม่เอาๆ ตลอด ท่านรู้จนได้ พระทั้งวัดจะรู้หรือไม่รู้เราปฏิบัติตัวของเราอย่างไร เราทำของเราอย่างนั้น บิณฑบาตได้มาเท่าไรนิดหน่อยพอ จัดใส่บาตรเรียบร้อยแล้วเอาไปไว้ที่ข้างฝาแล้วก็มาจัดอาหารถวายท่าน เป็นประจำเราเป็นคนจัดอาหารถวายท่าน
บทเวลาท่านจะทำ พอมานั่งเงียบ ท่านเตรียมไว้แต่เมื่อไรไม่ทราบเตรียมอาหารในบาตร อาหารเหล่านั้นก็อาหารเราจัดใส่บาตรถวายท่าน ปุบปับมาเลยละเปิดฝาบาตร ขอใส่บาตรหน่อยๆ บางทีท่านก็ว่าศรัทธามาสายๆ ท่านว่าอย่างนั้น มาเปิดปุ๊บเลยฝาบาตร เปิดฝาบาตรออกเลย ใส่เลย ถ้าอย่างนั้นเราก็ฉันให้ ถ้าพ่อแม่ครูจารย์ทำ เพราะจอมปราชญ์กับจอมโง่มันต่างกัน ท่านเป็นจอมปราชญ์มาใส่บาตรจอมโง่
ทำให้เราได้พิจารณาทุกอย่าง อยู่กับใครก็ทำไม่เหมือนใครนี่เรา เราทำคนเดียวเราไม่ให้ใครทราบละ แต่พ่อแม่ครูจารย์ทราบจนได้ทุกอย่าง เราทำอะไรท่านทราบหมด พระเณรเต็มวัดจะทราบหรือไม่ทราบไม่รู้ เราทำของเราอย่างนั้น อาหารการกินได้มาเท่าไรได้เท่านั้นละ เอาเฉพาะมาในบาตร จัดเสร็จเรียบร้อยแล้วไปวางไว้ข้างฝาแล้วก็มาจัดอาหารถวายท่าน อย่างนั้นเป็นประจำ เราทำของเราอย่างนั้น
พระเณรทั้งวัดจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่ทราบแหละ แต่พ่อแม่ครูจารย์รู้ นานๆ ปุ๊บปั๊บมาใส่บาตรเราทีหนึ่ง ถ้าเป็นท่านใส่เราก็ต้องฉัน ถ้าคนอื่นไม่ได้เด็ดขาด พระเณรกลัวเราเหมือนกลัวเสือตัวหนึ่งนะ อยู่กับพ่อแม่ครูจารย์รองลงมาก็คือกลัวเรา เพราะพ่อแม่ครูจารย์ท่านอยู่กุฏิ เรานี้มันสอดส่องตลอดกับพระกับเณร องค์ไหนเป็นอย่างไรๆ เราสอดส่องตลอดเพื่อความสงบ ไม่ระเกะระกะภายในวัด
อยู่อย่างนั้นก็ต้องเป็นเราละคอยดูแลพระเณรตลอด ให้ท่านอยู่ผาสุกเย็นใจท่าน เพราะต่างองค์ต่างมาเอง ไม่มีได้นิมนต์มา มาเอง อย่าให้ท่านหนักใจ มาระเกะระกะ เราต้องได้คอยสอดส่องดูตลอดเวลา มันก็หนักเหมือนกันคอยดูพระดูเณร ดูความเรียบร้อยของพระของเณรในวัดเป็นประจำ แต่พระเณรนี้กลัวนะกลัวเรา กลัวมากอยู่นะ มันเอาจริงนี่ เราไม่ได้ทำเหลาะๆ แหละๆ ทำอะไร ทำจริงจังทุกอย่าง จะมาเหลาะแหละกับเราไม่ได้นะพระเณร
ทุกสิ่งทุกอย่างได้มาเราไม่ได้สนใจกับอะไร จัดให้หมู่ให้เพื่อนเสร็จแล้วเราไม่เอาอะไร ครั้นเวลาเราไปแล้วท่านก็ถามพระเณร แล้วท่านมหาท่านจัดให้พระทั้งหลายแล้วท่านเอาอะไรบ้าง แน่ะ ท่านสอบถามพระเณรเวลาเงียบๆ ก็เราไม่เอาอะไร เราก็เป็นข้อวัตรของเรา ก็มีผ้าสามผืนเท่านี้ จีวร สบง สังฆา กับผ้าอาบน้ำผืนหนึ่ง เท่านั้นละ มีเท่านั้นเป็นประจำ เวลามีผ้ามีอะไรมามากๆ ให้เราเป็นคนจัด เราก็จัดถวายพระ เสร็จเรียบร้อยแล้วเราไม่เอาอะไร เพราะเราถือผ้าสามผืนเท่านั้นเป็นปรกติ
เวลาเราไม่อยู่หรือเราอยู่ท่านก็ถามพระ ท่านมหาจัดอะไรๆ ให้พระเณรแล้วท่านมหาเอาอะไรบ้างล่ะ นั่นท่านถาม บอกว่าท่านไม่เอาก็บอกว่าไม่เอา เพราะเรามีผ้าสามผืนเราไม่เอาอะไร ทีนี้เวลาท่านจะทำนะ เพราะท่านดูเราอยู่ตลอด เวลาท่านจะทำผ้าเขามาถวายบังสุกุลมากๆ ท่านให้ขนขึ้นไปกุฏิท่านหมดเลย เต็มห้องเลย นี่รอให้ท่านมหามา บางทีเราไปเที่ยวอยู่ ของเอาไปเต็มกุฏิไว้เลย ให้ท่านมหามาเลือกเอาเสียก่อน
พอเรามาถึงปั๊บนี่ โอ๋ย ขนออกมาจากห้องท่านเต็มหมดเลย ของเต็มห้องกุฏิ เพื่อจะให้เราเลือกเอา เราก็ไม่เอาอะไร เราก็ปฏิบัติตามธุดงควัตรของเรา เราไม่เอา เอาผ้าสามผืนเท่านั้น มาก็ขนออกมาเลย เอาให้เลือกที่นี่ จะเลือกเอาผืนไหนท่านมหาให้เลือกเอา เราก็ไม่เอาอะไรแหละ พอว่าเราไม่เอา เอาโละ ท่านก็โละลงหมด ออกหมดเลยแจกพระแจกเณร ท่านทำอย่างนั้นละกับเรา คือเราไม่เอาอะไร แต่ท่านจะทราบหรือไม่ทราบไม่รู้แหละ คือเราใช้ผ้าสามผืนเท่านั้น จีวร สบง สังฆาฏิ กับผ้าอาบน้ำผืนหนึ่งเท่านั้น
ฉลาดแหลมคมจอมปราชญ์ ใครจะไปเกินพ่อแม่ครูจารย์มั่น แหลมคมมากทีเดียว ท่านจอมปราชญ์ไอ้เราจอมโง่ละซี จอมโง่ติดตามจอมปราชญ์มันจะติดตามท่านอย่างไรล่ะ คนหนึ่งเป็นจอมปราชญ์ คนหนึ่งเป็นจอมโง่ เรานี้จอมโง่ท่านจอมปราชญ์ ทุกอย่างท่านแหลมคมมากทีเดียว ตาดีหูดีทุกอย่าง แพล็บนี่ใครไม่เห็นท่านเห็นแล้ว เราไปหาท่านใหม่ๆ เราก็ใช้ผ้าอย่างนั้น อยู่ได้สองวันตอนนั้นผ้าดูเหมือนจะอดอยากอยู่ ปี ๒๔๘๔ สงครามโลกละมังผ้าอดอยาก
พอเราไปท่านดูเราแต่เมื่อไรไม่ทราบนะ อย่างนั้นแหละตาท่าน เราก็ไม่สนใจเราใช้อย่างนี้มาเป็นประจำ ปุ๊บปั๊บเอาผ้ามา ท่านหาอุบายพูดนะ เวลาจะเอามาท่านพูด ทิ้งๆ ไปอย่างนั้นละท่านพูดเป็นอุบายของท่าน เอาผ้านี่ถวายท่านมหา มองดูมันกำลังจะเห็นหำอยู่ ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านพูดทิ้งๆ อุบายท่านจะให้เรา ความหมายท่านว่าอย่างนั้น นู่นน่ะดูผ้ามันจะเห็นหำอยู่นั่นน่ะ เห็นผ้าเราขาดเราอะไรบ้าง ท่านหาอุบายพูดทิ้งๆ ไป ความจริงท่านจะเอาผ้าให้เรา นั่นละอุบายจอมปราชญ์ ท่านว่าอย่างนั้น
ท่านอยู่เงียบๆ ท่านสบายพ่อแม่ครูจารย์มั่น นั่นละความพอในใจแล้วพอหมด ไม่ได้มีอะไรอยากได้นั้นได้นี้ไม่มี คือความพอในใจ เมื่อใจพอแล้วอะไรมันก็พอหมด ไม่สนใจกับอะไร อะไรมีมากมีน้อยไม่สนใจ ความพออยู่กับหัวใจแล้วเป็นอันว่าพอดี นี่ท่านพอทุกอย่างแล้วพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านอยู่กระต๊อบเล็กๆ นะ ท่านไปอยู่ที่ไหนท่านก็กั้นห้องศาลาอยู่ อย่างนั้นละท่านอยู่ กั้นห้องศาลา อยู่บ้านโคกนามนมีแต่กั้นห้องศาลาอยู่ มาหนองผือก็กั้นห้องศาลาอยู่
ท่านอยู่อย่างเงียบๆ อยู่อย่างสบายๆ คนภายนอกมองเห็นก็สะดุดตาสะดุดใจแหละ แต่หลักลึกจริงๆ นั้นน่ะเมื่อใจพอทุกอย่างแล้วอะไรมันพอหมด มันไม่ได้สนใจกับอะไรละ ขอให้ใจพอ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วพอหมด อยู่ที่ไหนสบายหมดขอให้ใจกับธรรมพอ ถ้าใจไม่พอเสียอย่างเดียวอะไรก็ไม่พอๆ ถ้าใจพอเสียอย่างเดียวอยู่ไหนสบายหมด อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่อยู่กระต๊อบเล็กๆ กั้นห้องอยู่ จะทำอะไรให้ท่านไม่เอา นี้มันสบายแล้ว ท่านว่าอย่างนั้น
คือใจนี้พอทุกอย่าง สิ่งเหล่านั้นพอได้อาศัยเท่านั้นเอง ท่านถือสิ่งเหล่านั้นพอได้อาศัย วางร่างอันนี้ลงเท่านั้นซากอสภเป็นนี่ เท่านั้นละท่านไม่อะไร คือภายในใจพอ พอทุกอย่าง ถ้าใจพอแล้วมันพอหมด ไม่ได้สนใจกับอะไร อันนั้นดีอันนี้ก็ดีไม่มี ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน เลิศอยู่ที่นี่แล้วอะไรไม่สนใจละ มันสำคัญอยู่ที่ใจ ถ้าใจพอแล้วพอหมด ถ้าใจไม่พอเสียอย่างเดียวอะไรก็ไม่พอ มันสำคัญอยู่ที่ใจพอ การอยู่นั้นมีแต่นักภาวนาด้วยกันนะ เงียบ พระจะมีจำนวนเท่าไรก็ตามเงียบหมด กลางวันเข้าอยู่ในป่าๆ หายเงียบ ในวัดว่างเปล่าหมดเลย จะมีพระองค์หนึ่งหรือสององค์อย่างมากอยู่คอยสังเกตการณ์ มีคนมาเกี่ยวข้องกับท่านบ้างอะไรบ้างคอยสังเกต นอกนั้นอยู่ในป่าหมดๆ เลย
นั่นน่ะท่านภาวนาท่านทำอย่างนั้น ไม่มีคน ทั้งๆ ที่พระเณรเต็มวัดอยู่ในป่าๆ หมด เงียบ แล้วอยู่องค์หนึ่งหรือสององค์คอยสังเกตการณ์เวลาคนมาเกี่ยวข้องกับท่าน มีเท่านั้น นอกนั้นเข้าอยู่ในป่าหมดเลยภาวนา ดูพระองค์ไหนเหมือนผ้าพับไว้ เรียบหมด เป็นอย่างนั้น พูดนี่มีแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องโลกไม่มีเลย สำหรับพ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่มี เรื่องโลกไม่มีเลย มีแต่เรื่องธรรมล้วนๆ อยู่อย่างนั้น มีพระมีเณรมากเท่าไรเหมือนไม่มี เหมือนวัดร้าง เงียบขนาดนั้น ต่างองค์ต่างสำรวมระวัง
จิตเป็นของสำคัญอันหนึ่ง ระวังภายในจิตใจก็เป็นการระวังทั่วๆ ไปหมด ถ้าใจไม่สำรวมเสียอย่างเดียวเพ่นพ่านไปหมด ใจสำรวมด้วยสติปัญญาอย่างเดียวมันก็เรียบไปหมด ท่านก็เรียบเราก็เรียบ เพราะต่างคนต่างรักษาจิต เวลาพูดขึ้นนี่มีแต่เรื่องสมาธิเรื่องปัญญา ทะลุถึงนิพพาน ท่านพูดธรรมะกัน ท่านไม่ได้นำมาพูดละเรื่องโลกเรื่องสงสารไม่มีเลย มีแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมล้วนๆ
เวลาท่านเทศน์นี้ไหลไปเลยนะ คือออกจากใจล้วนๆๆ ออกจากใจ ใจมีแต่อรรถแต่ธรรมเต็มหัวใจ เวลาออกจากใจนี้เป็นธรรมล้วนๆ เราไปอยู่ทีแรกท่านเทศน์ถึง ๔ ชั่วโมง ครั้นต่อมาก็ลดลงมา ๓ ชั่วโมงเทศน์แต่ละครั้งๆ เราไปอยู่กับท่านทีแรก ๔ ชั่วโมง ต่อมาก็ลดลงมา ๓ ชั่วโมง แล้วมาถึง ๒ ชั่วโมง พอถึง ๒ ชั่วโมงแล้วจากนั้นท่านก็ไม่เทศน์ เวลาเทศน์นี่ไอ้สามสี่ชั่วโมงมันไม่รู้สึกในร่างกายว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอะไร คือจิตมันดิ่ง ธรรมะท่านตีลงๆๆ จิตมันหมอบ บางทีหายเงียบเลย ร่างกายหายไปในขณะฟังเทศน์ ท่านเทศน์ตีลงๆ จิตมันหมอบๆ สงบแน่วเลย
นั่นละเทศน์ภาคปฏิบัติ ท่านไม่ได้อ่านตำรับตำรา ท่านเอาตำราใหญ่มาเทศน์อย่างพระพุทธเจ้า-สาวกท่านเทศน์ท่านถอดออกมาจากหัวใจที่เต็มไปด้วยธรรม ฟังนี้เพลินตลอดเลย เป็นอย่างนั้น พ่อแม่ครูจารย์มั่นเทศน์เป็นอย่างนั้น ไหลออกเลยเทศน์ จึงว่าผู้ทรงมรรคทรงผล เทศน์ออกมาคำใดมีแต่อรรถแต่ธรรมล้วนๆ ฟังแล้วเพลิน เทศน์ถึง ๔ ชั่วโมงไม่รู้ตัวนะ มันไม่ไปสนใจ บางทีร่างกายเหมือนว่าหายเงียบไป จิตมันแน่วลงอย่างนั้น
เดี๋ยวนี้จะหาที่ไหนล่ะหาพระปฏิบัติแบบพ่อแม่ครูจารย์มั่น มันโกโรโกโสไปหมด กรรมฐานเราเลยกลายเป็นกรรมฐานขุนนางไป กรรมฐานเจ้าชู้ กรรมฐานขุนนางไป ไม่มีกรรมฐานเพื่ออรรถเพื่อธรรมมองแล้วงามตางามใจ มีแต่ระเกะระกะๆ มันดูไม่ได้นะ พูดออกมาคำไหนมีแต่อรรถแต่ธรรมแต่มรรคแต่ผลนะ ผู้ฟังเพลินตลอด เป็นอย่างนั้น เรียกว่ามรรคผลนิพพานเหมือนว่าอยู่ชั่วเอื้อมๆๆ ท่านพูด มรรคผลนิพพานสดๆ ร้อนๆ สดๆ ร้อนๆ เพราะท่านทรงไว้แล้ว ในหัวใจของท่านมีแต่มรรคผลนิพพาน เวลาแสดงออกมาก็เป็นมรรคผลนิพพานออกมา ผู้ฟังก็ดูดดื่ม ลืมเนื้อลืมตัวในขณะฟัง เพลินไปเลย เป็นอย่างนั้นละ
(ลูกศิษย์นำคณะไปปฏิบัติธรรมตามวัดต่างๆ) แล้วไปตรวจตราดูไหมล่ะใครภาวนายังไงๆ บ้าง หรือไปตรวจตราดูแล้วเจ้าของกลับมาหลับครอกๆ เหรอ จิตสงบดีไหมล่ะ (ดีเจ้าค่ะ) จิตสงบนี่เป็นของอัศจรรย์นะ โถ เวลามันสงบจริงๆ ได้ยินแต่พ่อแม่ครูจารย์มาเล่าให้ฟังตอนท่านอยู่ถ้ำสาริกา จิตท่านรวม ที่ว่ามีผีใหญ่ตัวหนึ่งแบกตะบองเหล็กมาจะมาตีท่าน จิตของท่านรวมนี่สว่างจ้าครอบโลกธาตุ ท่านว่างั้น แล้วก็มีผีใหญ่มา แบกตะบองเหล็กมาจะมาฆ่าท่าน ท่านกับผีก็รบกัน สุดท้ายผีถวายตัวเป็นลูกศิษย์ แล้วบอกว่า นครนายก นครราชสีมา แถวนั้น ผีตัวนี้ละเป็นเจ้าอำนาจครอบอยู่หมดเลย
พอผีตัวใหญ่แบกตะบองเหล็กจะมาตีท่านลงท่านแล้วถวายตัวเป็นลูกศิษย์ ผีเหล่านั้นก็ยอมหมดเลย ยอมพ่อแม่ครูจารย์มั่น เราได้ไปดูหมดแหละที่ท่านนั่งภาวนาตรงไหนๆ ที่ถ้ำสาริกามันเป็นหลุม เดี๋ยวนี้เขาถมแล้วหลุม ท่านไปนั่งอยู่นั่น คือวันนั้นจิตมันผาดโผนอะไรก็ไม่รู้ ท่านว่างั้น ผาดโผนต่อผาดโผนเลยซัดกันเลย นั่งตรงนั้นมันเผลอก็ให้มันตกลงนี้ท่านว่างั้น ท่านไปนั่งอยู่ปากหลุมเลย หลุมลึก เอ้าถ้ามันเผลอให้มันตกลงนี้ นั่นละตอนที่ท่านจะได้ธรรมอัศจรรย์
ทีแรกท่านดูเหมือนจะเป็นโรคริดสีดวงทวาร หรืออะไรเกี่ยวกับท้อง ยานี้ฉันก็เคยหาย ยาสมุนไพรอยู่ตามแถวนั้นก็มี ครั้นเวลามันเป็นขึ้นมาก็หายาตามสถานที่อยู่เหล่านั้นเพราะเป็นยาสมุนไพรมาฉันมันก็หายๆ แต่วันนั้นมันไม่ยอมหาย วันจะเอากันใหญ่มันไม่ยอมหาย ซัดกันเลยท่านว่า เรียกว่าสละตายใส่กัน หลุมนั้นเดี๋ยวนี้ดูว่าเขาถมแล้วนะ ตอนเราไปแต่ก่อนยังเป็นหลุมลึกๆ อยู่ ท่านเล่าให้ฟังเราก็ไปดู ไปก็เห็นจริงๆ เดี๋ยวนี้เขาถมแล้ว
ทีนี้เวลาไปนั่งปากหลุม เวลาเผลอให้มันตกตายลงนี้เลยท่านว่า นั่นละเลยจิตรวมใหญ่ ที่ว่าผีใหญ่มา ท่านเล่าให้ฟัง จิตลงผึงเลย สว่างจ้าครอบโลกธาตุ แล้วก็มีผีใหญ่จะมาฆ่าท่าน สุดท้ายก็มามอบตัวถวายตัวเป็นลูกศิษย์ท่านผีใหญ่ตัวนั้น ท่านเล่าให้ฟัง ที่ถ้ำสาริกา เราไปดูหมด ตอนยังหนุ่มอยู่ขึ้นไปข้างบน ไปดูสถานที่ท่านอยู่ ดูซอกๆ แซกๆ ดูหมด เดี๋ยวนี้ขึ้นไม่ได้แล้ว ไปแค่ตีนเขาเท่านั้นไม่ขึ้น แต่ก่อนขึ้นเรื่อย ท่านไปอยู่ที่นั่น ท่านได้กำลังใจที่นั่นละหลวงปู่มั่นเรา ถ้ำสาริกา เพราะฉะนั้นเราถึงไปบ่อยๆ
ไปกรุงเทพเวลาว่างก็ไปถ้ำสาริกา นครนายก ไปดูสถานที่ มันรื่นเริง ดูร่องรอยที่ท่านมาบำเพ็ญเท่านั้นเราก็รู้สึกว่ารื่นเริงในใจนะ ตามร่องรอยท่านไป ท่านไปที่ไหนอยู่ที่ไหนบ้าง เพราะเราสืบทราบหมดแล้ว เราก็ไปตามร่องรอยที่ท่านอยู่ มันรื่นเริงดีนะ แต่เวลานี้ขึ้นไม่ได้แล้ว ไปก็ไปแค่ตีนเขานิดเดียว ดีไม่ดีเขายังต้องมีแคร่หามเราขึ้นอีก ต่อไปมันจะขึ้นไม่ได้แหละ
ท่านได้กำลังใจมากที่ถ้ำสาริกา นี่เราก็ไปดูหมด แต่ก่อนไปดูตั้งแต่ยังหนุ่มน้อยนะ ขึ้นไปนี้ท่านอยู่ตรงนั้นๆ เราตามไปหมด มันมีภูเขาลูกหนึ่งขวางอยู่ ท่านไปอยู่ทางโน้นเราก็ตามไปดูหมดแต่ก่อนเพราะยังหนุ่มน้อย อายุยังน้อยอยู่ แข็งแรงไปได้สบาย เดี๋ยวนี้ไปไม่ได้ แม้แต่ขึ้นไปแค่นี้เขาก็ได้หามขึ้นไป ที่เขาสร้างสำนักไว้ ขึ้นโน้นเราไม่ขึ้นแหละ ขึ้นไปนี้เขาก็ยังได้เอาแคร่มาหามเราขึ้นไปพัก มันรื่นเริงนะ พ่อแม่ครูจารย์มั่นไปอยู่ที่ไหนเราจะติดตามดูทุกแห่งๆ ไปเลย แค่ตามรอยของท่านเราก็ชุ่มเย็น ร่องรอยของท่านเป็นร่องรอยของผู้ทรงอรรถทรงธรรมบำเพ็ญธรรม รู้สึกว่าชุ่มเย็นดี
ไปทีไรไปทุกทีไปถ้ำสาริกา ไปกรุงเทพว่างๆ ไปเลย ไปถ้ำสาริกา ไปไม่ได้ขึ้นไปแค่นี้ก็เอา เขาหามขึ้นไปแค่นั้น นั่นสถานที่สำคัญที่ท่านได้อรรถได้ธรรมแปลกประหลาดอัศจรรย์ได้ที่นั่น เราก็ติดตามไปดูหมดนั่นแหละ เอาละเลิกละ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|