เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
ต้องรั้งด้วยพุทโธ
ก่อนจังหัน
พระเท่าไร (๔๑ ครับ) พระทั้งเข้าทั้งออกอยู่อย่างนั้น พระวัดป่าบ้านตาดใครไม่มีสติปัญญาแล้วมันตายกองกันอยู่ในบาตรนะ ถ้าใครมีสติปัญญาเอาตัวรอด อาหารเหลือเกิน ธรรมไม่ได้เจริญเพราะอาหารมากนะ ธรรมเจริญเพราะอาหารน้อย พอเขียมๆ ทุกอย่างๆ ความเป็นอยู่ของพระเขียมทุกอย่าง นั่นละธรรมเจริญตรงนั้น จำให้ดีคำพูดเหล่านี้ ครูบาอาจารย์ท่านเคยผ่านมาแล้ว ชื่อเสียงโด่งดังทั่วประเทศไทยมีแต่องค์อย่างนี้ เขียมๆ ที่จะให้อิ่มในตำรานี่ โอ๊ย น้อยมาก คือท่านไม่เอา ท่านดูจิตกับธรรม ร่างกายฉันมากฉันน้อยเป็นอย่างไรการภาวนา ท่านเอาลงจุดภาวนา ท่านว่าอาหารสัปปายะ อาหารเป็นที่สบาย ไม่ใช่สบายกินแล้วท้องเป่งไม่ได้นะ อาหารเป็นที่สบายกินแล้วธาตุขันธ์ก็ไม่กำเริบ การประกอบความเพียรก็สะดวกดี นั่นต่างหากอาหารสัปปายะ
นักปฏิบัติให้พากันพินิจพิจารณาตัวเองให้ดี จิต สติอย่าให้พรากจากกัน ถ้าจิตกับสติติดกันอยู่แล้วไม่ค่อยพลั้งเผลอ ทำอะไรไม่ค่อยผิดพลาด สติเป็นสำคัญมากทีเดียว ไม่ว่ากิจการงานอะไรสติเป็นสำคัญๆ หน้าที่การงานถ้าสติดีแล้วจะเป็นไปเพื่อความเรียบร้อยทั้งส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด ถ้าสติไม่มีไม่เป็นท่าละ เราก็ไม่ค่อยได้สอนพระ มันยุ่งเป็นแกงหม้อใหญ่ทั่วประเทศไทยรวมอยู่นี้หมด ก็เลยไม่รู้จะเทศน์จะสอนใครบ้าง พระเลยอดอยากอรรถธรรม เราไม่ค่อยได้แสดง
การแสดงธรรมสอนพระกับสอนฆราวาสนี้ต่างกัน สอนพระเป็นผู้ออกแนวรบแล้วธรรมะตั้งแต่พวกนิวเคลียร์นิวตรอนทั้งนั้นละผู้ออกสงครามแล้ว ผู้นอนจมกับเสื่อกับหมอนก็มีแต่หาฟืนหาไฟหาโลงผีมาไว้เท่านั้น จำเอานะทั้งสองนี่ มันอยู่กับเราทุกคนนั่นแหละ เวลานี้ไม่ค่อยได้สอนพระอะไรนักหนา ให้ตั้งใจกันภาวนา อย่ายุ่งกับอะไรสำหรับวัดนี้เราไม่ให้ยุ่งกับหน้าที่การงานต่างๆ ให้ยุ่งอยู่กับหัวใจที่กิเลสมันฟัดกันอยู่นั้น เอาให้ดีตรงนั้น
เราเปิดโอกาสให้หมดสำหรับพระในวัดนี้ไม่ให้มายุ่งการงานอะไร ไสเข้าในป่าให้ทำความเพียร แม้แต่คนมาเที่ยวนี้ก็ไม่ให้เข้า ให้อยู่ในบริเวณนี้ เรากักไว้หมดเพื่อความสะดวกในการประกอบความเพียรของพระ เราเปิดโอกาส เราไม่ได้สอนอย่างเน้นอย่างหนักเหมือนแต่ก่อน ก็เปิดโอกาสให้พระได้ทำความเพียรด้วยดี ไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งภายใน เรื่องความหนักแน่นในความเพียรเราไม่เคยจืดจาง
เพราะฉะนั้นเวลาเดินไปตามที่ต่างๆ เห็นพระเห็นเณรเรานี้มันหากเป็นของมันเอง สังขารร่างกายงุ่มง่ามต้วมเตี้ยม ส่วนใจอย่าเข้าใจว่าจะเป็นนะ มันแพล็บๆๆ พูดเสียบ้างวันนี้ การฝึกมาถึงขนาดนั้นนะ จิตใจนี่มันแพรวพราวๆ มองดูอะไรสติติดปั๊บๆ ปัญญาติดปั๊บ ไม่ได้ดูแบบเซ่อๆ ซ่าๆ ทีนี้เวลาเห็นพระในวัดของเราที่เราได้แนะนำสั่งสอน มันเซ่อๆ ซ่าๆ ถึงดูไม่ได้ หูหนวกตาบอดเอาอย่างนั้นละ มันเลอะมันเทอะนะ ใครที่ทรงมรรคทรงผลถ้าไม่ใช่พระปฏิบัติของเราอย่าหวังว่างั้นเลย ถ้าจมอยู่กับขาหมูขาวัวเอาละจมพวกนี้ จมอยู่กับความอดอยากขาดแคลนทางด้านวัตถุกับความเป็นอยู่พูวาย เอา เหือดแห้ง แต่ธรรมะนี่กระจ่างๆ นั่นละดี พากันจำ
เรื่องการขบการฉันการอดให้พากันพิจารณา การอดอาหารนี้ดี แต่จะอดนานๆ ไปท้องเสีย มีอดบ้างอิ่มบ้าง ผ่อนอาหารบ้าง สำหรับนักภาวนาจะสมบูรณ์พูนผลไม่ได้ ความสมบูรณ์พูนผลให้อยู่กับธรรมในหัวใจ ภายนอกอาศัยอะไรพอเป็นไปๆ เท่านั้นพอๆ แต่ใจอย่าให้บกพร่อง อันนี้สำคัญมาก ท่านว่าอาหารสัปปายะ คืออาหารการบริโภคความเป็นอยู่ให้เขียมๆ ละดี แต่ธรรมคือพวกความพากความเพียร ความอดความทน สติสตังนี้ให้แนบแน่นอยู่ภายในจิตใจตลอด นี้คือผู้ปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานจริงๆ
นี่ได้ธรรมมาเทศน์สอนหมู่เพื่อนอยู่นี้รอดตายมานะ แล้วเป็นนิสัยอย่างนี้ด้วย ทำอะไรทำเล่นไม่เป็น ครูบาอาจารย์ได้รั้งเอาไว้ เรานี่พ่อแม่ครูจารย์รั้งๆ มันเอาจริงมาก เป็นอย่างไรว่าอะไรถ้าลงได้ตัดสินใจแล้วพุ่งๆ เลย ครูบาอาจารย์ผู้ไสเราขึ้นเพื่ออรรถเพื่อธรรมต้องได้รั้งเอาไว้ๆ มันผาดโผน ตั้งใจปฏิบัตินะ อยู่ที่ไหนๆ ให้มีสติติดตัว สติติดกับใจท่านเรียกว่าความเพียร ความเพียรอยู่ที่สติกับใจติดกัน ไปที่ไหนเป็นความเพียร ประกอบหน้าที่การงานไม่ค่อยผิดพลาด ถ้าสติติดอยู่ปัญญาจะสอดแทรกกันไป ถ้าแบบทำอะไรก็ทำสักแต่ว่าทำใช้ไม่ได้นะ
มันจะหมดแล้วนะมรรคผลนิพพาน พระพุทธเจ้าประกาศธรรมสอนโลกมานี้นานเท่าไร มีแต่ธรรมที่เลิศเลอสุดยอด แต่พวกพุทธบริษัทเรานี้เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป มันไม่ฟังเสียงพระพุทธเจ้านะ เลอะๆ เทอะๆ อยู่เต็มบ้านเต็มเมือง เกิดคดีอธิกรณ์กันเต็มบ้านเต็มเมือง มีแต่พวกเหยียบหัวธรรมไปทั้งนั้นละ ถ้าฟังเสียงธรรมแล้วจะฟังเสียงกัน เหตุผลกลไกอะไรฟังกัน คนเราอยู่ด้วยการฟังกัน ไม่ว่าส่วนใหญ่ส่วนย่อย
แม้ที่สุดผัวกับเมียต้องฟังกัน อย่าอวดก้ามว่าตัวเป็นผัว อวดก้ามว่าตัวเป็นเมียหยิกข่วนเก่งว่าอย่างนั้นไม่ได้นะ มันไม่ขึ้นอยู่กับลิ้น มันไม่ขึ้นอยู่กับเล็บนะ ขึ้นอยู่กับธรรม ใครผิดใครถูกให้ยอมฟังเสียงกัน อยู่กันจนกระทั่งวันตาย อย่าอวดก้ามไม่เป็นท่านะ ต้องเอาธรรมเข้าติดแนบ ใครผิดใครถูกยอมรับกันๆ ผิดขนาดไหนก็ว่าตัวถูกตลอดๆ ตัวนี้ตัวทำโลกให้ล่มจม ครอบครัวผัวเมียอยู่กันไม่เป็นสุข เอาละให้พร
หลังจังหัน
ทองคำที่กำลังเข้าคลังหลวงเวลานี้ จากพี่น้องทั้งหลายที่ขวนขวายหามาจากที่ต่างๆ ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๑๑,๖๓๗ กิโลครึ่ง หรือ ๑๑ ตัน ๖๓๗ กิโลครึ่ง หลังจากมอบแล้วได้ทองคำประเภทน้ำไหลซึมเพิ่มเข้าอีก เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๔๙ กิโล ๑๙ บาท ๗๒ สตางค์ รวมทองคำทั้งหมดที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็น ๑๑,๖๘๖ กิโล ๕๒ บาท ๖๑ สตางค์ ทองคำ ๑๑,๖๘๖ กิโล คิดเป็นเงินบาท ๑๑,๒๖๙,๐๔๓,๕๒๐ บาท
เราอ่านงูๆ ปลาๆ ไปอย่างนั้นละ ไม่ทราบผู้ฟังเข้าใจไม่เข้าใจก็ไม่ทราบแหละ ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๑๑,๖๓๗ กิโลครึ่ง หรือ ๑๑ ตัน ๖๓๗ กิโลครึ่ง หลังจากมอบแล้วได้ทองคำประเภทน้ำไหลซึมเพิ่มเข้าอีกเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม เป็น ๔๙ กิโล ๑๙ บาท ๗๒ สตางค์ รวมทองคำทั้งหมดที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็น ๑๑,๖๘๖ กิโล ๕๒ บาท ๖๑ สตางค์ ทองคำ ๑๑,๖๘๖ กิโล คิดเป็นเงินบาท ๑๑,๒๖๙,๐๔๓,๕๒๐ บาท
เราอ่านไปอย่างนั้นละเขาเขียนมาให้อ่าน อ่านตรงไหนไม่ชัดเราก็อืออาๆ ไปเรื่อย ถ้าเขาว่าทำไมอ่านอย่างนั้น ก็เขียนอย่างนี้ หาทางออกจนได้ ตัวไหนไม่ชัดก็อืออาๆ ตัวไหนชัดก็อ่านไปเรื่อย เรามันไม่จนละเรื่องการอ่าน ขอแต่เขียนมาเถอะ อ่านนี่ไม่จน อ่านตรงไหนที่เขาเขียนไม่ชัดเราก็อืออาๆ ก็เป็นอย่างนั้นนี่ แล้วทำไมอ่านอย่างนั้น ก็เขียนอย่างนี้ แน่ะมันก็ไม่ยากอะไร
กุฏิเรานี้เราขึ้นอยู่ตั้งแต่ปี ๒๕๐๖ สองพันห้าร้อยห้าสร้าง ห้าร้อยหกขึ้นอยู่ ถึงวันนี้ห้าร้อยห้าสิบเอ็ดกี่ปี (๔๕ ปีเจ้าค่ะ) กุฏิเรานี่ขึ้นลงๆ ไม่เป็นไร แต่ปีนี้เป็นอารมณ์มากเข้าแล้ว ขึ้นได้พอไปถึงพื้นหอบแล้ว ขึ้นไปอีกก็หอบแล้ว มันหนัก แก่ลงกำลังหมด ตกลงจะอยู่ข้างล่าง เข้าออกข้างล่าง ข้างบนไม่ขึ้นแล้ว มันอ่อนลงๆ จะได้เข้าข้างล่างแล้ว ขึ้นข้างบนไม่ไหว อย่างนี้ละมันอ่อนลงๆ กำลังจะทำพื้นใหม่อยู่ข้างล่าง ก็คงจะทำตอนเราไปกรุงเทพ พระเตรียมไม้ไว้หมดแล้วที่ศาลาเต็มไปหมด ข้างบนก็เก็บเอาไว้อย่างนั้น ขึ้นหอบแล้ว พอเราไปกรุงเทพพระก็จะเริ่มสร้าง กลับมาก็เข้าเลย กำลังอ่อนมากนะ เรื่องกำลังรู้สึกอ่อนมาก เดินจากกุฏิมานี้ก็อ่อน ออกมาฉันจังหันอ่อน ลุกขึ้นตอนเช้า จะเดินไปที่นั่นที่นี่ก็อ่อน อ่อนไปหมดแล้ว สะเปะสะปะร่างกาย ไปศาลาหลังใหญ่กลับมาเหนื่อย มันหมดกำลัง
เราได้คำนวณกำลังวังชาของเรา เคยได้พูดให้ลูกศิษย์ฟัง คืออายุ ๒๓ ปีกำลังเต็มที่เลย เหมือนว่าดีด กำลังมันดีดขึ้นของมัน อายุ ๒๓ ปีเรื่อยๆ ไป ถึง ๔๖ ปีลด เราเดินจากวัดไปสะพานที่เขื่อนบ้านจั่น แต่ก่อนเขายังไม่ได้ทำเขื่อน มันมีทางไป มีสะพาน พอไปถึงนั้นปั๊บ ๑ ชั่วโมงพอดีจากวัดนี้ไป ตั้งแต่เราสร้างวัดเรื่อย จนกระทั่งถึงอายุ ๔๖ พอ ๔๖ เริ่มรู้ เราเดินไปนี้พอไปถึงนั่นปั๊บจะได้ ๑ ชั่วโมง ทรงอยู่หลายปี พออายุ ๔๖ ยังไม่ถึงมาดูนาฬิกาถึงแล้ว มองเห็นไปนี้นาฬิกาถึงแล้ว แล้วต่อไปห่างเข้ามานาฬิกาถึงแล้ว มองเห็นนั้น ต่อมาก็เลยมีรถ เขาทำถนนผ่านไป ทีนี้ปัญหาของการเดินกำหนดเวลาก็เลยหมดไป แต่ก่อนไปตามถนน เดินไป อายุ ๔๖ ลด
คือเรามีกำหนดสะพานนั้นละ ไปถึงสะพานนั้น จากนี้ไปถึงสะพานนั้นเรื่อยมาละ ๑ ชั่วโมง พอถึงสะพานปั๊บ ๑ ชั่วโมง เรื่อยมา พอถึงอายุ ๔๖ ยังไม่ถึงสะพานนาฬิกาได้แล้วได้เวลา มันหดเข้ามา ต่อจากนั้นก็มีรถผ่านไปมาเลยไม่กำหนดละ แต่ ๔๖ กำลังลดนะ ร่างกายของเรานี้ทางฆราวาสก็หนักเป็นธรรมดา ทั้งเขาทั้งเราหนักไปด้วยกัน แต่มาเป็นพระนี้รู้สึกว่าหนักมาก งานของเราหนักมากทำความเพียร จนพ่อแม่ครูจารย์รั้งเอาไว้
ถ้าว่านั่งก็ฟาดตลอดรุ่งๆ จนก้นแตก นี่ท่านก็รั้งเอาไว้ ทั้งๆ ที่ท่านไสเราขึ้นสวรรค์นิพพาน แต่เวลามันผาดโผนมากไปท่านก็รั้งเอาไว้ มักจะถูกรั้งไว้เสมอ..พ่อแม่ครูจารย์ คือท่านเป็นจอมปราชญ์ เราเป็นจอมโง่ทำอะไรไม่รู้จักประมาณ ท่านรู้จักประมาณ เหตุที่ท่านจะรั้งไว้ก็คือว่าวันไหนได้ซัดตลอดรุ่งวันนั้นทุกข์เต็มที่ อันนี้ขึ้นอยู่กับจิต ถ้าวันไหนจิตพิจารณาลงจับติดๆ แล้วตลอดรุ่งก็ไม่ค่อยสมบุกสมบัน ร่างกายไม่ค่อยบอบช้ำ
ถ้าวันไหนจิตลงไม่ได้ง่าย หกทุ่มยังลงไม่ได้ นั่งแต่หัวค่ำยังลงไม่ได้ ตีสองถึงลงได้ วันนั้นละบอบช้ำมาก ถ้าวันไหนจิตลงยากวันนั้นร่างกายบอบช้ำมาก ถ้าวันไหนจิตจับติดๆๆ แล้วลงเรื่อยๆ วันนั้นพอลุกขึ้นไปเลย ลุกแล้วเดินไปเลย ถ้าหากว่าวันไหนมันลงยากๆ จะลุกนี่ไม่ได้นะ เราเคยล้มเราไม่รู้เรื่อง พอลุกนี่ล้มตูมเลย นึกว่ามันลุกไปได้ ที่ไหนได้มันตายหมดแล้วนี่ จากนั้นเวลาจะลุกออกต้องจับขานี้ดึงออกไปๆ ทดสอบดู คู้เข้าเหยียดออก ทดสอบดูทุกอย่างแล้วค่อยๆ ลุก คือมันดัดเราทีหนึ่ง ทีแรกนั่งตลอดรุ่งๆ มันตายหมดแล้วนี่ เวลาจะลุกปึ๊บปั๊บลุกแล้วล้มตูมเลย มันสอนเสียบ้าง
นั่นละนั่งทำภาวนาเอาจนกระทั่งก้นแตก นั่งตลอดรุ่งๆ นี่พ่อแม่ครูจารย์ก็รั้ง ทั้งๆ ที่ท่านส่งเรา แต่เวลาทำมันผาดโผน รั้งเอาไว้ๆ ความเพียรที่หนักมากพรรษา ๑๐ หรือ ๑๑ บ้านนามนลืมแล้ว (พรรษา ๑๐ ครับ) อันนั้นหนักมาก ได้เด่นๆ ในพรรษา ๑๐ เพราะทั้งร่างกายและจิตใจหนักพอๆ กัน กลางคืนนั่งตลอดรุ่งๆ ไม่ทราบว่ากี่คืน กลางวันไม่นอน เว้นแต่วันไหนนั่งตลอดรุ่งกลางวันจะพักให้ ถ้าไม่นั่งตลอดรุ่งกลางวันจะไม่พักนอน เวลามันง่วงออกมาเดินจงกรม หรือลงไปอาบน้ำเสีย เอากันอย่างนั้น
พรรษานั้นละเป็นพรรษาที่หนักทั้งทางร่างกายและจิตใจ จิตใจก็หมุนกันอย่างหนัก ร่างกายก็หมุนกันแบบร่างกาย หนักพรรษาที่ ๑๐ มันเด่นเป็นระยะๆ ความเพียรเรา ตอนนี้กำลังตั้งรากตั้งฐาน เพราะฉะนั้นมันถึงเร่งใหญ่ พอจากนั้นไปแล้วจิตก็ค่อยละเอียดลออ แต่ความเพียรก็ไปตามความละเอียดนะ จะให้มันถอยมันไม่ถอยละ มันไปแบบความละเอียด เลยสุดท้าย หมุนติ้วทั้งวันทั้งคืน แน่ะเป็นอย่างนั้น
กลางคืนมันจะนอนไม่หลับ เพราะจิตกับธรรมฟัดกัน กลางคืนนอนไม่หลับ คือจิตมันไม่ยอมนอน กิเลสกับธรรมอยู่ในจิตนี้มันฟัดกันตลอด ตั้งแต่หัวค่ำจนกระทั่งสว่างไม่ยอมนอนเลย นั่นก็มี กลางวันมันก็จะไม่นอนอีก สุดท้ายก็รั้งไว้ด้วยพุทโธ พุทโธนี่รั้งได้ ที่จะห้ามไม่ให้มันออก มันค้นทางด้านปัญญานะนี่ หมายถึงด้านปัญญา มันหมุนของมันติ้วๆๆ เหมือนรถมันวิ่งเต็มสัดเต็มส่วนมาแล้วนี้ใครรั้งไม่ได้นะ เหยียบเบรกทันทีลงคลองเลยใช่ไหมล่ะ อันนี้ก็อย่างนั้นเหมือนกัน
เวลารั้งก็รั้งอย่างนั้นละ กลางคืนไม่หลับ กลางวันยังจะไม่หลับอีก ต้องรั้งด้วยพุทโธ รั้งด้วยพุทโธอย่างไร จะห้ามเฉยๆ มันไม่อยู่ มันพุ่งๆๆ สติปัญญา ต้องห้ามด้วยพุทโธ เราทำมาแล้วจึงได้มาสอนหมู่เพื่อน ทำอย่างไรมันไม่หยุดมันพุ่งของมันตลอดจะทำอย่างไร เอาพุทโธรั้งไว้เพื่อให้มันหยุด เอาพุทโธตั้งทอดสมอไว้ สติอยู่กับพุทโธ อะไรอยู่กับพุทโธไม่ให้มันออก ให้อยู่กับพุทโธอย่างเดียวแล้วจิตก็ค่อยสงบเข้ามาๆ งานการที่มันหมุนติ้วๆ ค่อยเบาลงๆ เข้ามาอยู่จุดเดียว อยู่จุดพุทโธ พอลงพุทโธนี้แน่วเลย
ทีนี้เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามนะ ที่งานมันชุลมุนวุ่นวายเข้าหาพุทโธรั้งเอาไว้แล้วหยุด หยุดแล้วก็รวม จากนั้นหากว่าเราจะนอนก็นอนได้ตอนนั้น พอจิตถอยออกมานิดหนึ่งแล้วกำหนดจิตให้มันอยู่กับพุทโธเบาๆ แล้วก็หลับได้ ถ้าไม่เช่นนั้นหลับไม่ได้ นี่ละการทำมาแล้วมันพูดได้เต็มปากนะ ไม่ต้องไปถามใคร เราเป็นคนทำเอง รั้งด้วยพุทโธถึงอยู่ สติปัญญาเวลามันออกเดินแล้วรั้งไม่อยู่นะ มันหากหมุนของมันติ้วๆ กลางคืนกลางวันไม่หลับไม่นอน คือมันจวนจะไปแล้วนั่น อย่างไรมันก็ไม่อยู่ มีแต่จะไปท่าเดียว
นิพพานเหมือนว่าสาธุไม่ได้พูดโอ้อวด เหมือนว่าอยู่ชั่วเอื้อม นิพพานนี่อยู่ชั่วเอื้อมๆ การหลับการนอนการพักผ่อนไม่มีความหมายนะ มันพุ่งๆ นั่นเวลามันรุนแรง ทีนี้เวลาเอาจริงๆ มันจะตายแล้วนี่ ต้องรั้งด้วยพุทโธ เอาพุทโธออกมาบริกรรมพุทโธๆๆ จิตค่อยสงบเข้าหาพุทโธ แล้วสงบแน่วเลย ทีนี้เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามนะ พอพุทโธรั้งไว้แล้วสติอยู่กับพุทโธแล้วเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม สงบเย็นสบาย เอาละที่นี่เราจะหลับนอนก็หลับตอนนั้น พอมันเบาๆ มาสักหน่อยเอาพุทโธเบาๆ ให้หลับไปกับพุทโธ ถ้าปล่อยมันจะพุ่งๆ ทางด้านปัญญา
มันเป็นอย่างนั้นละ มันถึงได้ชัดขอให้มันเป็นในจิตเถอะน่ะ ถึงขั้นมันไม่หยุดไม่หยุดนะจิต สติปัญญานี้จะหมุนของมันตลอดเลย กิเลสอยู่ที่ไหนเหมือนกับเชื้อไฟอยู่ที่นั่น ไฟจะตามเข้าไปเผาไหม้หมด สติปัญญาตามเข้าเผากิเลส เลยเพลิน การหลับการนอนเลยนอนไม่หลับ จนกระทั่งรวมยอดเอาเลยฟาดเสียจนสุดส่วน บทเวลามันเป็นก็เป็นอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ แปลกอยู่นะวัดนี้ เกิดความอัศจรรย์ของจิตธรรมดาๆ จิตที่มันว่างไปหมด อัศจรรย์ตัวเองก็ไปอัศจรรย์อยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์
คือมันว่างหมดจริงๆ เห็นแต่ความอัศจรรย์ในจิตสว่างจ้าครอบไปหมด จนออกอุทาน โอ้โห จิตเรานี่ทำไมมันถึงได้สว่างไสวเอานักหนา อัศจรรย์เอานักหนา มันยืนรำพึงนะ อวิชชามีอยู่นั้นละ อวิชชายังไม่หมด นี่ก็อัศจรรย์พักหนึ่ง ต่อไปก็วัดดอยธรรมเจดีย์นั่นแหละ อันนี้ตอนตี ๔ ที่ยืนรำพึงเจ้าของ อัศจรรย์ใจเจ้าของมันสว่างไสว ตอนนั้นจิตมันว่างหมดแล้ว รูปธรรม-นามธรรมพิจารณาไม่ได้ มันไม่รับ พอแปลบเท่านั้นดับหมดๆ จะไปเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ได้อย่างไร มันเหมือนแสงหิ่งห้อย แพล็บ พอมันแพล็บดับแล้วๆ ก็เห็นแต่เกิดกับดับๆ ออกไปจากจิตๆ ไล่กันไปไล่กันมาเข้าถึงรังอวิชชาขาดสะบั้นไปเลย
นี่ก็ไปเป็นอยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ วัดดอยธรรมเจดีย์รู้สึกจะแปลกกับเรา เราเลยไม่ลืม เป็นวัดที่ฝังลึกในใจของเรา ความเพียรแบบอัศจรรย์อะไรๆ ก็ไปอยู่ที่นั่น จนอัศจรรย์เต็มที่ก็อยู่ที่นั่น ถึงขั้นสุดยอดก็อยู่ที่นั่น สุดยอดนี่เราไม่เคยลืม เวล่ำเวลาไม่ลืมเลย ขั้นมันสุดยอดขั้นฟ้าดินถล่ม เรื่องฟ้าดินเขาก็อยู่ตามธรรมดาเขา แต่ร่างกายกับจิตกับกิเลสกับธรรมมันอยู่เป็นวงเวที เวลากิเลสมันขาดสะบั้นไปจากใจร่างกายนี้พุ่งเลย มันเป็นของมันเอง ร่างกายนี้ดีดผึงขึ้นเลย
เราอยู่ธรรมดานี่ พอกิเลสกับจิตขาดสะบั้นจากกัน นี่ละที่ว่าฟ้าดินถล่ม คือร่างกายของเรามันหมุนพุ่งขึ้นไปเลยเชียว ธรรมดาฟ้าดินเขาก็อยู่ของเขา มันหากมาเป็นอยู่ระหว่างกายกับจิต เราจึงเรียกว่าฟ้าดินถล่ม ให้เข้าใจตามนี้นะ ไม่ใช่ฟ้าดินนั้นถล่ม ระหว่างกายกับจิต กิเลสกับธรรมซัดกัน เวลามันขาดสะบั้นจากกันนี้มันดีดผึงเลย นี่ก็ไม่ลืม วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มพอดี ๕ ทุ่มเป๋ง อยู่หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ตั้งแต่นั้นมากิเลสตัวใดไม่เคยโผล่ออกมาเลย ตั้งแต่บัดนั้นมาเรียกว่าเรียบวุธเลย นั่นจึงเรียกว่าสิ้นซิ ถ้ายังค้นหาเจออยู่เรียกว่ายังมี ค้นเท่าไรก็ค้นก็รู้กันอยู่จะค้นหาอะไร ก็มันรู้อยู่แล้วนี่ มันตายชัดๆ แล้วจะไปค้นให้มันฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร
นี่ละการประกอบความเพียรสำหรับเรานี้หนักมาก มันเป็นนิสัยอย่างนี้ ทำความเพียรไปคนเดียว พ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้เสริมเลย ถ้าว่าจะไปทางไหน ว่าไปทางนั้น เอ้อ ทางนั้นดี ท่านไปหมดแล้ว ไปกี่องค์ ไปองค์เดียว ท่านขึ้นทันทีเลย พอเราว่าไปองค์เดียว เออ ท่านมหาไปองค์เดียวนะ ใครอย่าไปยุ่งท่าน นั่น บอกว่าท่านมหาไปองค์เดียวคึกคักขึ้นเลย ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ก็เวลาขากลับมาท่านเห็นชัดๆ คือมีแต่หนังห่อกระดูก คนกำลังหนุ่มอายุ ๓๐ สามสิบกว่าแล้วเป็นหนังห่อกระดูกมา คือมันไม่มีเนื้อมีหนัง เรียกว่าทรมานกันสุดขีดว่าอย่างนั้น ทีนี้เวลามีใครไปด้วยจะเป็นน้ำไหลบ่า ไหลบ่าๆ คือความรับผิดชอบอยู่อย่างลึกๆ นั่นแหละ รับผิดชอบกันคนเราไปด้วยกัน ถ้าไปคนเดียวป่าช้าอยู่กับเราผึงเลย เป็นอย่างนั้นละ
วันนี้พูดอย่างนี้มันน่าจะได้ฟังเอานะ เป็นอย่างไรนักภาวนา นักปฏิบัติ หลวงตาบัวเอาธรรมถอดจากหัวใจมาพูดนะนี่ ยังมาว่าหลวงตาบัวโกหกอยู่เหรอ เวลามันเล่นโกหกมันทั้งบ้านทั้งเมืองทั่วโลกดินแดนมันยังเห็นว่าบ้าเป็นของดีเหรอ นี่พูดธรรมของเลิศเลอถอดออกมาจากหัวใจจากความเพียรที่รอดเป็นรอดตายมามาเล่าให้ฟัง เป็นอย่างไรธรรมพระพุทธเจ้าเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบหรือไม่ชอบอยู่ที่ผลนะ เป็นอย่างนี้ มีกาลสถานที่ที่ไหน..อกาลิโก ผลได้ตลอดทั้งทางชั่วทางดี ใครทำชั่วได้ชั่วตลอด ใครทำดีได้ดีตลอด ไม่มีที่แจ้งที่ลับ นั่นละให้พากันปฏิบัติ เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่มีอดีตอนาคต จะเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มี ธรรมพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบ ให้ปฏิบัติตามจะเห็นตามนั้น เอาละให้พร
(ถวายเงินร่วมสร้างกุฏิ ๑๕,๕๑๐ บาทครับ) โอ๊ย สร้างก็สร้างไปอย่างนั้นแหละ คนนั้นมาคนนี้มามันก็ไหลไปทางอื่นทางที่เป็นประโยชน์แหละ กุฏิก็เท่าที่จำเป็นเท่านั้นเอง มันมาก็เห็นว่าเงินเหล่านี้มันเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม เราก็เลยไม่ห้าม ปล่อย เพราะออกจากนี้มันก็เป็นประโยชน์ส่วนรวมไปหมดดังที่เราเคยทำมาแล้ว ไม่ได้มาเก็บใส่หมกใส่ห่อเรา เราไม่มี เรื่องการเงินการทองนี้เรียกว่าเราจนที่สุด ไม่มี มีเท่าไรออกหมดเลย เพราะเราไม่เก็บ เอาละให้พร
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
สถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|