การสงเคราะห์โลกของหลวงตา

"…เวลามีชีวิตอยู่นี้ เราจะทำความดีให้โลกทั้งหลายได้เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม และทำด้วยความเมตตาสงสาร
เพราะหลังจากนี้แล้ว… เราตายแล้ว…เราจะไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีกต่อไป เป็นตลอดอนันตกาล…"
ปณิธานของหลวงตาฯ
"พระช่วยโลกไม่ได้..ใครเล่าจะช่วยได้"
อุปนิสัยที่โดดเด่นประจำองค์หลวงตามหาบัวฯ ตั้งแต่วัยหนุ่มนั้น ท่านเป็นผู้มีเมตตาธรรม มีน้ำใจชอบให้ความช่วยเหลือผู้น้อยผู้ใหญ่ เพื่อนฝูง และผู้ด้อยโอกาสกว่าท่าน จตุปัจจัยไทยทานที่ท่านได้รับมาจึงไม่เคยเหลือเก็บเลย มีมากน้อยเพียงใด หลวงตาฯ ก็นำออกแจกจ่ายคนรอบข้างตลอดมา ความเมตตาดังกล่าวของท่านปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อท่านได้เริ่มตั้งวัดป่าบ้านตาดในปี พ.ศ.2499 ท่านได้ให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือตั้งแต่รายย่อย ได้แก่ คนทุกข์ คนจน คนเจ็บป่วย คนตาบอด คนพิการ คนอนาถา เด็กกำพร้า จำนวนมาก และสำหรับการช่วยเหลือเพื่อสาธารณะประโยชน์นั้น ท่านเน้นความสำคัญเป็นกรณีพิเศษจนถือเป็นกิจวัตรประจำวันของท่านก็ว่าได้ คำกล่าวตอนหนึ่งแสดงได้ชัดเจนถึงความเป็นนักเสียสละของท่าน ดังนี้
"…พอตื่นขึ้น…สิ่งแรกที่คิดถึงก่อนอื่นก็คือเรื่องการช่วยโลก ไม่มีแม้แต่น้อยที่คิดถึงเรื่องตัวเอง… พระช่วยโลกไม่ได้ ใครเล่าจะช่วยได้…"
และคำกล่าวของท่านอีกตอนหนึ่ง
"…ไปดูที่ไหนๆ เราดูจริงๆ ช่วยจริงๆ… ถ้าเรายังไม่ตายแล้วเราจะช่วยตลอดไป ไม่ว่าโรงพยาบาลไหนๆ ช่วยทั้งนั้น
โรงร่ำโรงเรียนก็ปลูกให้เป็นหลังๆ ขาดอุปกรณ์อะไรๆ บ้าง ให้ ให้ ให้ ไม่ว่าแต่โรงพยาบาล สถานสงเคราะห์ต่างๆ เราก็ให้…"
และด้วยความมุ่งมั่นจริงจังของหลวงตาฯ เช่นนี้เอง ส่งผลให้การช่วยโลกของท่านคิดมูลค่าเป็นตัวเงินมีจำนวนมากมายมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติชีวิตของบุคคลใดในประเทศ ท่านเคยคำนวณมูลค่าไว้ว่าจะต้องถึงหลักหมื่นล้านขึ้นไป เพราะท่านให้ความช่วยเหลือรอบด้านรอบทางหลายแง่หลายมุมและช่วยเช่นนี้ตลอดมาตั้งแต่ออกบำเพ็ญธรรม จตุปัจจัยไทยทานทั้งหลายที่ท่านได้รับมาจึงไม่มีเหลือติดเนื้อติดเลย ท่านได้รับมาเท่าไร ท่านก็ให้การสงเคราะห์มากเท่านั้น มีบ่อยครั้งถึงขนาดที่ท่านต้องยอมติดหนี้ติดสินเพราะเหตุผลที่ต้องช่วยเหลือในเรื่องนั้นๆ มีน้ำหนักมากกว่า ท่านจึงยอมออกรับประกันว่า ให้สั่งซื้อสิ่งนั้นได้เลย เมื่อท่านมีจตุปัจจัยเข้ามาท่านจะสั่งจ่ายให้ในทันที
